ก.อุตฯ เร่งสร้างเกราะ SME ดันสู่ 'มาตรฐานสากล' สู้อาวุธใหม่ กีดกันการค้า

ก.อุตฯ เร่งสร้างเกราะ SME ดันสู่ 'มาตรฐานสากล' สู้อาวุธใหม่ กีดกันการค้า

กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งผลักดัน SME ให้ปรับตัวและใช้ "มาตรฐานสากล" เป็นเครื่องมือต่อสู้กับมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่

KEY

POINTS

  • กระทรวงอุตสาหกรรมเร่งผลักดัน SME ให้ปรับตัวและใช้ "มาตรฐานสากล" เป็นเครื่องมือต่อสู้กับมาตรการกีดกันทางการค้ารูปแบบใหม่
  • ภาครัฐเร่งเตรียมกลไกสนับสนุน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การสร้างมาตรฐานที่ครอบคลุม, การลดภาระต้นทุนการทดสอบสินค้า และการช่วยเชื่อมต่อเข้าสู่ซัพพลายเชนระดับโลก

ท่ามกลางสงครามการค้าครั้งใหม่ ภาคธุรกิจไทยกำลังเผชิญกับความท้าทายสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นกติกาการค้าโลกที่เปลี่ยนแปลงไป มาตรการกีดกันทางการค้า ทำให้เกิดการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ โดยเฉพาะธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SME) ที่อาจไปไม่รอดหากไม่มีแรงสนับสนุนจากภาครัฐ 

นายวิฤทธิ์ วิเศษสินธุ์ รองปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวในวงเสวนาหัวข้อ “SME ห่วงโซ่ธุรกิจสู่ความยั่งยืน” ภายในงาน Sustainability Expo 2025 ”A Call for Adaptation The Sustainability in Trade & Industry” วันที่ 3 ต.ค.2568 ว่า ปัญหาหลัก 3 ประการที่ SME ทั่วโลกเผชิญ ประกอบไปด้วย การขาดเงินทุน การขาดมาตรฐาน ซึ่งไม่ตรงกับกติกาโลกที่ต้องเป็นมาตรฐานสากล และการขาดโอกาส โดยเฉพาะการเข้าถึงและเชื่อมต่อกับซัพพลายเชนระดับโลก ดังนั้นหน้าที่ของภาครัฐคือการเข้าไปปิดช่องว่างเหล่านี้

“ผู้ประกอบการ SME มักจะคิดและทำเอง และคิดว่าสินค้าของตนดีแล้วในแบบของ SME แต่มาตรการเหล่านั้น ไม่ใช่มาตรฐานสากล ซึ่งเป็นกติกาที่โลกใช้ และหากไม่มีมาตรฐานสากล ก็ยากที่จะเข้าถึงและเชื่อมต่อกับซัพพลายเชนระดับโลก”

นายวิฤธิ์ กล่าวว่า ในช่วงที่ผ่านมากติกาการค้าโลกทำให้มาตรการปกป้องผู้ผลิตในประเทศทำได้ยากขึ้นอย่างมาก มาตรการในอดีต เช่น การกำหนดสัดส่วนการใช้ชิ้นส่วนในประเทศ (Local Content) ไม่สามารถบีบบังคับผู้เข้ามาลงทุนได้อีกต่อไป เนื่องจากติดข้อกำหนดขององค์การการค้าโลก (WTO) และข้อตกลงการค้าเสรี (FTA)

ดังนั้น สงครามการค้าในยุคต่อไป จึงเปลี่ยนมาใช้ “มาตรฐานสากล” เป็นเครื่องมือในการกีดกันทางการค้าแทน เนื่องจากการใช้มาตรฐานในการตรวจสอบนั้นแยบยลที่สุด หากประเทศใดใช้มาตรฐานการตรวจสอบเพื่อกีดกันสินค้าจากต่างประเทศ ไทยก็จะต้องใช้มาตรการเดียวกันในการหารือและการเจรจา

ก.อุตฯ เร่งสร้างเกราะ SME ดันสู่ 'มาตรฐานสากล' สู้อาวุธใหม่ กีดกันการค้า

ทั้งนี้ ภาครัฐตระหนักดีถึงความจำเป็นที่ผู้ผลิตในประเทศจะต้องปกป้องตนเองจากการไหลทะลักเข้ามาของสินค้าไม่ผ่านมาตรฐานหรือสินค้าราคาถูกจากต่างประเทศ เพื่อสนับสนุนให้ SME มีการปรับตัว (Adaptation) ควบคู่ไปกับ มาตรฐานสากล (International Standard) โดยเน้นกลยุทธ์สำคัญผ่านการส่งเสริม 3 ด้านหลัก

1. การสร้างมาตรฐานที่ยืดหยุ่นและครอบคลุม โดยสำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (สมอ.) ได้ออกมาตรฐานรวมประมาณ 3,000 มาตรฐาน ครอบคลุม 144 ผลิตภัณฑ์ โดยมีการออกมาตรฐานใหม่ปีละประมาณ 600 มาตรฐาน ซึ่งรวมถึงมาตรฐานตัวสินค้าและวิธีการทดสอบ นอกจากนี้ สมอ. พยายามขยายผล มาตรฐานผลิตภัณฑ์ชุมชน (มอก.S) ให้ครอบคลุมถึงผู้ประกอบการรายเล็กและผู้ที่อยู่ในภาคบริการ เพื่อให้มาตรฐานอยู่ในหัวใจของผู้ประกอบการทุกระดับ และภาครัฐยังพยายามจัด Ranking มาตรฐาน โดยแบ่งมาตรฐานที่เหมาะสมสำหรับ SME และรายใหญ่ เพื่อให้การส่งเสริมมีประสิทธิภาพ

2. การลดต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานการทดสอบ เพื่อช่วยให้ SME สามารถยกระดับสินค้าได้โดยไม่แบกรับภาระต้นทุนสูง ภาครัฐจึงให้การสนับสนุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการตรวจสอบและทดสอบ

นายวิฤทธิ์ กล่าวว่า SME ไม่ใช่ทุกรายที่จะต้องไปสู่ตลาดต่างประเทศ แต่ทุกคนต้องมีการปรับตัว (Adaptation) โดยหากต้องการไปต่างประเทศสิ่งที่หนี้ไม่พ้นคือจะผ่านการทดสอบมาตรฐานระดับสากล

โดยกระทรวงอุตสาหกรรมมีเครือข่ายสถาบันทดสอบมาตรฐานกว่า 10 แห่งภายใต้การกำกับดูแล ซึ่งมีเครื่องมือพร้อมให้บริการ และค่าใช้จ่ายในการทดสอบสำหรับกลุ่ม SME จะถูกคิดเพียงแค่ ต้นทุน เพื่อลดภาระและเอื้อให้ผู้ประกอบการสามารถทดลองสิ่งใหม่ ๆ และกลับมาทดสอบซ้ำได้หลายครั้ง

3. การเชื่อมต่อซัพพลายเชนระดับโลก โดยภาครัฐจะต้องเตรียมความพร้อมอุตสาหกรรมสนับสนุน (Supporting Industry) สำหรับการลงทุนใหม่ที่จะเข้ามา เมื่อมีอุตสาหกรรมใหญ่มาลงทุน SME ที่เชื่อมต่ออยู่ก็จะเติบโตตามไปด้วยโดยไม่ต้องหาตลาดเอง แม้จะไม่สามารถบีบบังคับให้รายใหญ่ใช้ Local Content ได้ แต่ภาครัฐใช้มาตรการ จูงใจ ผ่านการขอรับส่งเสริมจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เพื่อให้นักลงทุนมีแรงจูลใจในการพิจารณาใช้ SME ไทยในซัพพลายเชนการผลิต

นอกจากนี้ ภาครัฐยังได้ดำเนินการเพื่อเพิ่มโอกาสและแหล่งเงินทุนให้กับ SME ด้วยกลไกของสถาบันการเงินเฉพาะกิจ และมีกองทุนต่างๆ เช่น กองทุนประชารัฐ มูลค่า 4-5 พันล้านบาท เพื่อสนับสนุน

“ในอนาคต ธนาคารจะต้องพิจารณาการปล่อยสินเชื่อโดยไม่สามารถพิจารณาแค่หลักทรัพย์ค้ำประกันได้อีกต่อไป เนื่องจากเป็นมุมมองที่หมดสมัยไปแล้ว และต้องมองถึงการลงทุนเพื่อซื้ออนาคตของธุรกิจ”

ก.อุตฯ เร่งสร้างเกราะ SME ดันสู่ 'มาตรฐานสากล' สู้อาวุธใหม่ กีดกันการค้า