'อนุทิน' ปูทางสู่เศรษฐกิจยั่งยืน วางรากฐานอุตฯ–การค้าไทย สู้โลกผันผวน

"อนุทิน" ชี้ “ความยั่งยืน” คือทางรอดของไทย ไม่ใช่แค่ทางเลือก เร่งวางรากฐานเศรษฐกิจ–การค้า–อุตสาหกรรม และสาธารณสุข รองรับความท้าทายโลกผันผวน–สังคมสูงวัย
กรุงเทพธุรกิจ จับมือ Sustainability Expo 2025 (SX 2025) มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน จัดสัมมนา “A Call for Adaptation: The Sustainability in Trade & Industry” โดยได้รับเกียรติจาก นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ “ยกระดับอุตสาหกรรม-การค้า-การลงทุนสู่ความยั่งยืน”
นายอนุทิน กล่าวว่า ความยั่งยืน (Sustainability) ไม่ใช่เพียงนโยบายแฟชั่น แต่คือ ‘ทางรอด’ ของประเทศไทย ท่ามกลางโลกที่กำลังเผชิญทั้งความผันผวนทางเศรษฐกิจ การแข่งขันทางการค้า และแรงกดดันจากภูมิรัฐศาสตร์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
ทั้งนี้ ปัจจุบัน ความยั่งยืนถูกยกระดับเป็นกติกาใหม่ของโลก แม้หลายคนยังไม่เข้าใจความหมายของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) อย่างถ่องแท้ แต่ไทยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อย่างไรก็ตาม ในการพัฒนาที่เน้นเพียง Quick Win ระยะสั้น ไม่สามารถแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างได้ รัฐบาลจึงต้องวางรากฐานระยะยาว เพื่อไม่ให้ความต่อเนื่องของนโยบายถูกล้มเลิกเมื่อเปลี่ยนรัฐบาล “หากความยั่งยืนขาดความต่อเนื่อง ความหมายก็จะหายไป
สำหรับแนวทางการพัฒนาต้องดำเนินไปพร้อมกันใน 3 มิติ ได้แก่
1. เศรษฐกิจมั่นคง ซึ่งไทยต้องรับมือกับสงครามการค้า มาตรการกีดกันทางการค้า และการแข่งขันด้านเทคโนโลยีการผลิต ที่ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาใช้พลังงานสะอาด และลดคาร์บอนฟุตพริ้นท์
2. สิ่งแวดล้อมยั่งยืน รัฐบาลเตรียมผลักดัน “โซลาร์ชุมชน” เชื่อมโยงการผลิตไฟฟ้าในระดับหมู่บ้าน เพื่อนำพลังงานส่วนเกินกลับมาขายสร้างรายได้ชุมชน เสริมโมเดลเศรษฐกิจฐานรากแบบใหม่
3. สังคมคุณภาพชีวิตดี ไทยต้องเผชิญสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ประชาชนจะมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้นถึง 90 ปี การจัดสรรงบด้านสาธารณสุขจึงเป็นภาระสำคัญที่รัฐต้องเตรียมการ
"การที่คนไทยมีอายุยืนขึ้น ต้องมีระบบสุขภาพรองรับอย่างยั่งยืน รัฐบาลจึงจำเป็นต้องลงทุนมหาศาล ทั้งจากงบประมาณ และความร่วมมือจากภาคเอกชน"
ทั้งนี้ รัฐบาลจึงเสนอโมเดลให้ โรงพยาบาลรัฐหารายได้เสริม ผ่านบริการพรีเมียมสำหรับผู้ที่มีกำลังจ่าย เพื่อนำกำไรกลับมาช่วยเหลือผู้ป่วยสิทธิ 30 บาทและประกันสังคม เพื่อให้ระบบสาธารณสุขมีเงินหมุนเวียนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังคงยกระดับคุณภาพบริการของประชาชนกลุ่มเปราะบาง
สำหรับในมิติการค้า และการลงทุน นายอนุทิน ชี้ว่า ประเทศไทยคือ ศูนย์กลางเชื่อมโยงภูมิภาค แต่ไม่ควรเป็นเพียง “ทางผ่าน” ของการลงทุน ต้องสร้างแรงจูงใจให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนจริง เพื่อสร้างงาน สร้างรายได้ และเพิ่มมูลค่าเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยมีจุดแข็งด้านวัฒนธรรม ความหลากหลายทางศาสนา และความเสถียรภาพทางการเมือง ซึ่งล้วนเป็น “ทุนทางสังคม” ที่ทำให้ต่างชาติเชื่อมั่น แต่รัฐบาลต้องไม่ปล่อยให้กลุ่มทุนชี้นำทิศทางจนขาดการแข่งขัน เพราะจะทำให้เศรษฐกิจชะงักงัน และเสียโอกาสในระยะยาว
นายอนุทิน กล่าวว่า ความยั่งยืนไม่ควรถูกมองเพียงเรื่องสิ่งแวดล้อมหรือ “Green” เท่านั้น แต่คือ การสร้าง โอกาสทางการค้า–การลงทุนใหม่ๆ ขยายตลาด เพิ่มมูลค่าผลิตภัณฑ์ และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในทุกมิติ
“ความยั่งยืนไม่ใช่เพียงนโยบาย แต่คือ อนาคตของประเทศ หากเราทำได้ ไทยจะไม่ใช่แค่ประเทศที่อยู่รอด แต่จะเป็นประเทศที่เติบโตอย่างมั่นคง และภาคภูมิใจ” นายอนุทิน กล่าว
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







