จะอยู่กันอย่างไร หาก 'กรุงเทพฯ' กลายเป็นเมืองเดือดที่ร้อน

ประเทศไทยนั้นมีอยู่ 3 ฤดู คือฤดูร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุด ถึงวันนี้คำกล่าวนี้อาจไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไป ภายในปี พ.ศ. 2593 เมืองต่างๆ ทั่วโลกกว่า 970 เมืองรวมถึงกรุงเทพมหานครจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นสู่ระดับเฉลี่ย 35 องศา

KEY

POINTS

  • ธนาคารโลกคาดการณ์ว่าภายในปี พ.ศ. 2593 กรุงเทพฯ จะเป็นหนึ่งในเมืองที่จะมีอุณหภูมิเฉลี่ยในฤดูร้อนสูงถึง 35 องศาเซลเซียส
  • อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลกระทบรุนแรงหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพ เศรษฐกิจ (ผลผลิตลดลง, ค่าไฟฟ้าเพิ่ม) และความเหลื่อมล้ำทางสังคมจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนเมือง
  • แนวทางแก้ไขปัญหาที่สำคัญคือการใช้ธรรมชาติเป็นพื้นฐาน (Nature-based Solutions) เช่น การเพิ่มพื้นที่สีเขียวอย่างโครงการสวน 15 นาที และการออกแบบอาคารสีเขียวเพื่อช่วยลดอุณหภูมิ
  • การแก้ปัญหาให้สำเร็จต้องอาศัยกลไกทางการเงินที่เข้มแข็ง เช่น สินเชื่อสีเขียว และความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และธนาคาร

หลายครั้งเราจะพบว่าคนไทยมักมองโลกแบบอารมณ์ดี ในสภาพภูมิอากาศที่ร้อนชื้น ขนาดที่บางครั้งคนไทยแท้ๆ ยังยากจะทานทน แต่เราก็ยังแซวตัวเองเล่นได้ว่าประเทศไทยนั้นมีอยู่ 3 ฤดู คือฤดูร้อน ร้อนมาก และร้อนที่สุด ถึงวันนี้คำกล่าวนี้อาจไม่ใช่เรื่องตลกอีกต่อไปครับ เมื่อเร็วๆ นี้ผมได้อ่านรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ที่ชื่อว่า “Handbook on Urban Heat Management in the Global South” เป็นเรื่องเกี่ยวกับสถานการณ์ความร้อนที่เพิ่มขึ้นในเขตเมือง รายงานนี้ชี้ว่า ภายในปี พ.ศ. 2593 เมืองต่างๆ ทั่วโลกกว่า 970 เมืองรวมถึงกรุงเทพมหานครจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นสู่ระดับเฉลี่ย 35 องศาเซลเซียสตลอดช่วงฤดูร้อน ซึ่งหมายความว่าจะมีประชากรในเมืองเหล่านี้กว่า 1.6 พันล้านคน จะต้องเผชิญกับภัยความร้อนจัดในจำนวนวันที่มากขึ้นต่อปี ซึ่งต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้น่ากังวลไม่น้อยครับ

แม้ช่วงนี้บ้านเรากำลังอยู่ในช่วงที่มีพายุเข้าและกำลังจะสิ้นสุดหน้าฝน แต่ทราบหรือไม่ว่าในปี พ.ศ. 2567 ที่ผ่านมาอุณหภูมิเฉลี่ยทั้งปีของบ้านเราสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 75 ปีที่ผ่านมา ถึง 1.1 องศาเซลเซียส อากาศที่ร้อนขึ้นแม้เพียง เล็กน้อยส่งผลให้มีโอกาสเกิดโรคภัยไข้เจ็บทั้งทางกายและใจ อาทิ โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคในระบบทางเดินหายใจของผู้สูงอายุ อุณหภูมิที่สูงขึ้นยังเป็นสาเหตุของภัยแล้งที่คุกคามคนไทยกว่า 6.89 ล้านคนใน 55 จังหวัดทั้งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

ไม่เพียงเท่านั้น จากปรากฏการณ์ที่เรียกว่า เกาะความร้อนเมือง (Urban Heat Island Effect) ที่ทำให้พื้นที่ในเมืองมีอุณหภูมิสูงกว่าอุณหภูมิของชานเมือง จะยิ่งทำให้ความเหลื่อมล้ำในสังคมเมืองยิ่งเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิภายในย่านที่อยู่อาศัยในชุมชนเมืองของผู้มีรายได้น้อยจะสูงกว่าบริเวณภายนอกประมาณ 4-5 องศาเซลเซียส โดยธนาคารโลกยังให้ข้อมูลอีกว่าอุณหภูมิที่เพิ่มขึ้นเพียงแค่ 1 องศาเซลเซียสในกรุงเทพมหานคร อาจนำไปสู่การเสียชีวิตจากสาเหตุที่เกี่ยวข้องกับความร้อนกว่า 2,300 ราย ผลผลิตลดลงคิดเป็นมูลค่ากว่า 44,000 ล้านบาท รวมถึงค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้าจากการทำความเย็นเพิ่มขึ้นกว่า 17,000 ล้านบาทในทุกๆ ปี

ทางออกสำหรับปัญหานี้ เราอาจจะต้องหันกลับไปพึ่งพาธรรมชาติ ผ่านแนวคิด Nature-based Solutions (NbS) ซึ่งเป็นการดำเนินงานเพื่อปกป้องและฟื้นฟูระบบนิเวศอย่างยั่งยืนโดยอาศัยกลไกสีเขียว เช่น การปลูกต้นไม้ สร้างพื้นที่ชุ่มน้ำหรือพื้นที่สีเขียว เพื่อสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมแบบ “Dual Benefits” กำลังเป็นที่สนใจเพิ่มมากขึ้น โดยข้อมูลที่น่าสนใจคือการสร้างระบบนิเวศสีเขียวในเขตเมืองสามารถลดอุณหภูมิบนพื้นผิวถนนและพื้นที่โดยรอบได้โดยเฉลี่ยมากถึง 2.7 องศาเซลเซียส ยิ่งไปกว่านั้นการสร้างสวนสาธารณะยังช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวและส่งเสริมสุขภาพที่ดีให้กับประชาชนในเวลาเดียวกันอีกด้วย

โดยหนึ่งในประเทศที่นำแนวคิด NbS ไปใช้ได้ผลจริงคือเพื่อนบ้านเราอย่างสิงคโปร์ ด้วยความท้าทายของพื้นที่ประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด รัฐบาลสิงคโปร์จึงได้ใช้แนวทางการลดอุณหภูมิในเมืองผ่านการพึ่งพิงกลไกธรรมชาติ ตัวอย่างคือการก่อสร้างโรงแรมและอาคารขนาดใหญ่ที่ใช้แนวคิดการออกแบบอาคารสีเขียวที่มีสวนลอยฟ้าอันเขียวชอุ่มที่ช่วยระบายความร้อนให้กับเมืองครับ

สำหรับประเทศไทย จำเป็นต้องดำเนินการอย่างทันท่วงทีเพื่อไม่ให้ต้นทุนสำหรับการปรับตัวในอนาคตสูงจนเกินไป ข่าวดีคือปัจจุบันเราเริ่มเห็นโครงการพื้นที่สีเขียวในเขตเมืองเพิ่มมากขึ้นแล้ว โดยเฉพาะโครงการสวน 15 นาทีของกรุงเทพมหานคร ซึ่งมีแนวคิดให้คนกรุงสามารถเดินเท้าไปใช้งานได้ในระยะเวลาเพียง 15 นาที การใช้แนวทางก่อสร้างอาคารสมัยใหม่ที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม และการสร้างการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อสร้างแรงผลักดันจากผู้ใช้งานพื้นที่เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว

กระนั้น การแก้ปัญหาความร้อนในเมืองไม่อาจพึ่งพาโครงการปลูกต้นไม้หรือสวนสาธารณะเพียงอย่างเดียว แต่จำเป็นต้องมีกลไกทางการเงินที่เข้มแข็งมาช่วยขับเคลื่อน ธนาคารพาณิชย์จึงสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในการสนับสนุนสินเชื่อสีเขียว ตราสารหนี้ส่งเสริมความยั่งยืน รวมถึงผลิตภัณฑ์การเงินอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อสร้างแรงจูงใจและผลักดันภาคธุรกิจที่ต้องการเงินทุนให้สามารถปรับตัวและรับมือกับภัยความร้อนในระยะยาว

ที่สำคัญ การออกแบบแผนงานและแนวทางการแก้ปัญหาที่กล่าวมาต้องอาศัยโครงสร้างการกำกับดูแลที่ชัดเจน ทั้งการกำหนดบทบาทของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงหา “เจ้าภาพ” ในแต่ละด้าน เมื่อทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคการธนาคารร่วมกันออกแบบโครงการที่ตอบโจทย์ทั้งเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม เชื่อได้ว่าการจัดการกับปัญหา “กทม. เดือด” จะไม่ใช่เรื่องยากเกินไปครับ