“MEA” ขับเคลื่อนพลังงานเพื่อชีวิตคนเมือง พัฒนาความยั่งยืนถึงระดับถึงจิตสำนึก

การไฟฟ้านครหลวง (MEA) แชร์วิสัยทัศน์เป็นผู้ร่วมสร้างมหานครที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ในงาน Sustainability Expo 2025 (SX2025)
ท่ามกลางความตื่นตัวด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนที่เพิ่มขึ้นทั่วโลก งาน Sustainability Expo 2025 (SX2025) เป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการรวมตัวขององค์กรและผู้คนที่ใส่ใจในปัญหาด้านนี้
หนึ่งในงานเสวนาที่น่าสนใจในงานนี้ คือ เวที “MEA's Powerfor the Future: นวัตกรรมพลังงานเพื่อมหานครยั่งยืน” ที่ พิศณุ ตันติถาวร รองผู้ว่าการการไฟฟ้านครหลวง (MEA) ได้มาแบ่งปันวิสัยทัศน์และภารกิจที่สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่นอกเหนือไปจากการเป็นเพียงผู้จัดจำหน่ายไฟฟ้า แต่คือการเป็นผู้ร่วมสร้างมหานครที่ยั่งยืนสำหรับทุกคน ซึ่งมี วรรณสิงห์ ประเสริฐกุล นักกิจกรรมด้านสิ่งแวดล้อม เป็นผู้ดำเนินรายการ
วิสัยทัศน์หลักของ MEA ถูกสรุปไว้อย่างชัดเจนว่าเป็น “พลังงานเพื่อชีวิตเมืองมหานคร” ซึ่งหมายถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นเครื่องมือในการพัฒนาเมืองให้ก้าวไปข้างหน้า โดยดำเนินงานควบคู่ไปกับการรักษาสิ่งแวดล้อมและใช้ทรัพยากรของโลกให้น้อยที่สุด
แม้ว่า MEA จะไม่ได้เป็นผู้ผลิตไฟฟ้าโดยตรง แต่ในฐานะผู้จัดจำหน่าย ซึ่งเปรียบเสมือนโลจิสติกส์ด้านไฟฟ้า โดยมีภารกิจสำคัญคือการบริหารจัดการกระบวนการขนส่งพลังงานให้เกิดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด
หนึ่งในโครงการรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนที่สุดที่ MEA ได้จัดทำ จนส่งผลต่อภูมิทัศน์ของกรุงเทพฯ คือ “การนำสายไฟฟ้าลงดิน” โครงการนี้ไม่ได้เป็นเพียงการจัดระเบียบเมืองให้สวยงามเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อระบบนิเวศโดยตรง เมื่อไม่มีสายไฟฟ้ากีดขวาง ต้นไม้สองข้างทางก็สามารถเจริญเติบโตได้อย่างเต็มที่ สร้างพื้นที่สีเขียวที่ร่มรื่นและสวยงามให้กับเมือง
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสนใจคือ สิ่งที่ประชาชนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าเป็นสายไฟฟ้าที่รกรุงรังนั้น แท้จริงแล้วคือ “สายสื่อสาร” ซึ่งไม่ใช่ความรับผิดชอบของการไฟฟ้านครหลวง แต่ในปัจจุบัน MEA ก็ได้เล็งเห็นปัญหานี้ จึงได้ร่วมมือกับ กสทช. และผู้ประกอบการ ริเริ่มโครงการจัดระเบียบสายสื่อสาร เพื่อปรับปรุงทัศนียภาพของเมืองให้ดียิ่งขึ้น
ปัจจุบัน ได้มีการนำสายไฟฟ้าลงดินในถนนสายหลักของพื้นที่ใจกลางเมืองและย่านธุรกิจสำคัญ เช่น สีลม สยาม และตลอดแนวรถไฟฟ้า ได้สำเร็จไปแล้วเกือบ 80%
นอกจากการปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานแล้ว MEA ยังมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมพลังงานสะอาดให้เข้าถึงประชาชนในวงกว้าง โดยเฉพาะ
โซลาร์เซลล์ พลังงานแสงอาทิตย์ และยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ซึ่งกำลังจะกลายเป็นกระแสหลัก MEA ไม่ได้ลงไปแข่งขันกับภาคเอกชนโดยตรง แต่เลือกที่จะทำหน้าที่เป็นผู้กำหนดมาตรฐานและให้ความรู้เพื่อเน้น “ความปลอดภัยเป็นหลัก” เพราะการใช้พลังงานสะอาดต้องมาพร้อมกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน MEA จึงทำหน้าที่ตรวจสอบการติดตั้งให้ได้มาตรฐาน ทั้งแผงโซลาร์เซลล์บนหลังคาและจุดชาร์จ EV ที่บ้าน เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับผู้ใช้งาน
นอกจากนี้ MEA ได้พัฒนาแอปพลิเคชัน “MEA Smart Life” เพื่ออำนวนความสะดวกแก่ประชาชน ในยุคดิจิทัล ช่วยให้สามารถทำธุรกรรมต่าง ๆ ได้โดยไม่ต้องเดินทางมาที่สำนักงาน ซึ่งไม่เพียงแต่ตอบโจทย์วิถีชีวิตสมัยใหม่แล้ว ยังเป็นการสร้างประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน เพราะช่วยคนไม่ต้องเดินทาง ช่วยลดการปล่อยมลพิษ และ ลดการใช้กระดาษ ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการลดใช้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งสิ้น ภายใต้แนวคิด “สะดวกบวกกรีน”
เมื่อมองภาพใหญ่ในระดับประเทศ การเปลี่ยนผ่านด้านพลังงานของไทยยังมีความท้าทายอยู่มาก ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าส่วนใหญ่ยังพึ่งพาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นพลังงานสีน้ำตาล (Brown Energy) แม้จะมีการผลิตพลังงานสะอาด เช่น พลังงานแสงอาทิตย์และภพลังงานลม แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดอยู่ในด้านความไม่เสถียร ไม่สามารถผลิตได้ 24 ชั่วโมง
ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีใหม่ๆ จึงถูกนำมาพิจารณาเพื่อเป็นทางออกในอนาคต หนึ่งในนั้นคือ “โรงไฟฟ้าปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก” หรือ “SMR” (Small Modular Reactor) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีรุ่นใหม่ที่มีความปลอดภัยสูงมาก ขนาดประมาณตู้คอนเทนเนอร์ แต่สามารถผลิตไฟฟ้าเลี้ยงจังหวัดเล็ก ๆ ได้ทั้งจังหวัด
ส่วนพลังงานไฮโดรเจน แม้จะเป็นพลังงานสะอาด แต่ปัจจุบันยังมีต้นทุนการผลิตที่สูงมากจนไม่คุ้มค่าในเชิงพาณิชย์ เช่นเดียวกับโรงไฟฟ้าขยะที่ถึงแม้ว่าเทคโนโลยีจะพร้อม แต่ในประเทศไทยก็ยังเผชิญกับความท้าทายด้านการจัดการวัตถุดิบและการคัดแยกขยะที่ยังไม่มีประสิทธิภาพเพียงพอ ทำให้ต้นทุนการผลิตไฟฟ้าสูงกว่าปกติหลายเท่าตัว
อย่างไรก็ตาม หัวใจสำคัญที่สุดของการสร้างความยั่งยืนที่ MEA เน้นย้ำ ไม่ได้อยู่ที่เทคโนโลยีหรือโครงการใดโครงการหนึ่ง แต่อยู่ที่ “จิตสำนึก” ของคนในองค์กรและสังคมโดยรวม ดังที่พิศณุกล่าวไว้ว่า
“การดูแลสิ่งแวดล้อม ไม่ใช่เป็นกระบวนการ อยู่ที่จิตสำนึก ถ้าพวกเรามีจิตสำนึกเมื่อไหร่ ไม่ว่าเราจะอยู่ภาคส่วนไหนก็ตาม ต่อให้ไม่มีใครบังคับ เราก็ทำ”
แนวคิดนี้ถูกนำมาปรับใช้ภายในองค์กร โดยพยายามปลูกฝังให้พนักงานทุกคนตระหนักถึงการใช้ทรัพยากรในการทำงานแต่ละวัน และตั้งคำถามกับตัวเองเสมอว่า “ทุกวันพวกเราทำลายธรรมชาติไปมากน้อยเท่า ไหร่ แล้วจะลดการทำลายนั้นลงได้อย่างไร”
การสร้างจิตสำนึกนี้ถือเป็น "ซอฟต์ไซด์" (Soft Side) ที่ต้องดำเนินควบคู่ไปกับ “ฮาร์ดไซด์” (Hard Side) ซึ่งก็คือนโยบายและกฎหมายจากภาครัฐ เช่น พระราชบัญญัติการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change Act) ที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะเป็นกรอบกติกาที่ช่วยขับเคลื่อนให้ทุกภาคส่วนต้องปรับตัวและเดินหน้าไปในทิศทางเดียวกัน
ท้ายที่สุดแล้ว ภารกิจทั้งหมดที่ MEA ดำเนินการ ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการที่รวดเร็ว การดูแลให้ไฟฟ้าดับน้อยลง หรือการขับเคลื่อนเมืองสู่ความยั่งยืน ล้วนทำขึ้นโดยมีเป้าหมายที่ใหญ่กว่าแค่การดำเนินงานขององค์กร แต่เป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับประเทศในสายตาชาวโลก เพราะเมื่อต่างชาติมองมายังประเทศไทย พวกเขามองที่กรุงเทพมหานครเป็นหลัก ดังนั้น การพัฒนาระบบไฟฟ้าให้มีเสถียรภาพและยั่งยืนจึงเป็นหน้าตาของประเทศ ด้วยเหตุนี้ MEA จึงยึดมั่นในหลักการที่ว่า
การเดินทางสู่ความยั่งยืนเป็นเส้นทางที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน และงานอย่าง SX 2025 ก็เป็นเครื่องยืนยันว่าประเทศไทยกำลังเดินหน้าไปในทิศทางนี้อย่างจริงจัง ผ่านการแลกเปลี่ยนเรียนรู้และผนึกกำลังกันทั้งภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างอนาคตที่เมืองและผู้คนสามารถเติบโตไปพร้อมกับสิ่งแวดล้อมได้อย่างยั่งยืนสืบไป







