B Corp พลิกเกมธุรกิจไทย ยกระดับ "Social Enterprise" สู่สากล

เปิดโรดแมปสู่ความยั่งยืน! ธุรกิจเพื่อสังคมไทยได้เวลา "สร้าง Movement" ครั้งใหญ่ หลังกระแสโลกบีบให้ต้องเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก 'Bottom Line' สู่ 'Total Value'
KEY
POINTS
- กระตุ้นให้ธุรกิจไทยเปลี่ยนผ่านจากการมุ่งเน้น "กำไรสูงสุด" ไปสู่การสร้าง "คุณค่าองค์รวม" ที่คำนึงถึงสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล
- เสนอให้ใช้มาตรฐานสากล "B Corp" เป็นแนวทางยกระดับวิสาหกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise) โดยประเมินผลกระทบเชิงบวกใน 5 มิติหลัก ได้แก่ ธรรมาภิบาล พนักงาน ชุมชน ลูกค้า และสิ่งแวดล้อม
- เรียกร้องให้ภาครัฐและเอกชนร่วมมือกัน โดยรัฐช่วยสร้างมาตรฐานและส่งเสริมการตลาด ส่วนเอกชนช่วยถ่ายทอดความรู้และเป็นพี่เลี้ยงเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน
พิพัฒพงศ์ อิศรเสนา ณ อยุธยา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ดอยคำผลิตภัณฑ์อาหาร จำกัด , ดร. สกุลทิพย์ กีรติพันธวงศ์ , Chief Impact Creator บริษัท ในส์คอร์ป เอส.อี. จำกัด และเลขาธิการสมาคมผู้ประเมินมูลค่าทางสังคมไทย (Social Value Thailand), ม.ล. ภาสกร อาภากร ผู้อำนวยการสำนักส่งเสริมมูลค่าเพิ่มเพื่อการค้า กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กล่าวในงานฟอรัมวิสาหกิจเพื่อสังคม 2025 (SE Forum 2025) ในเวทีเสวนาที่ 1 หัวข้อ ยกระดับธุรกิจแบ่งปันสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืนว่า การยกระดับ ธุรกิจเพื่อสังคม (Social Enterprise: SE) สู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน ได้ตอกย้ำถึงการเปลี่ยนแปลงที่ขาดไม่ได้ในรากฐานทางความคิดของภาคธุรกิจไทย จากเดิมที่มุ่งเน้น "การเติบโตทางการเงิน (Bottom Line) เป็นหลัก" สู่การสร้าง "คุณค่าอย่างสมดุลให้กับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย" ทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม
ซึ่งระบบเศรษฐกิจแบบดั้งเดิมที่เน้นการเติบโตไม่จำกัดและการกระจุกตัวของผลประโยชน์นั้น "ไม่พอดี ไม่พอเพียง"อีกต่อไป ธุรกิจต้องก้าวข้ามจากการทำ CSR (การบริจาค) และ PSR (การลดผลกระทบเชิงลบ) ไปสู่ระดับสูงสุดคือ Impact Business Model หรือการออกแบบแก่นกลางธุรกิจให้สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมโดยตรง
B Corp มาตรฐานสากลที่เป็นมากกว่าใบรับรอง
กรอบแนวคิด B Corporation (Benefic Corporation) ถูกนำเสนอในฐานะ "มาตรฐานสากล" ที่ธุรกิจเพื่อสังคมไทยควรนำมาประยุกต์ใช้เพื่อยกระดับการดำเนินงานสู่เวทีโลก B Corp คือการเปลี่ยนกระบวนทัศน์จาก "ผู้ถือหุ้นสู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย (Shareholder to Stakeholder)" โดยประเมินสุขภาพองค์กรอย่างรอบด้านใน 5 มิติหลัก คือ ธรรมาภิบาล พนักงาน ชุมชน ลูกค้า และสิ่งแวดล้อม
หัวใจสำคัญ: ไม่ได้มุ่งเน้นแค่ "ผลิตภัณฑ์ที่ดี" แต่ต้องการสร้าง "บริษัทที่ดี" ทั้งองค์กร และเปลี่ยนจาก "การแข่งขันสู่การสร้างชุมชน" และเครือข่ายความร่วมมือ
การวัดผลที่แท้จริง: การวัดผลกระทบ (Impact Measurement) ต้องมุ่งตอบคำถามสำคัญ 5 ข้อ เช่น "อะไรเปลี่ยน?" และ "เปลี่ยนไปแค่ไหน?" โดยเน้นที่ "ผลลัพธ์และผลกระทบ" ที่เกิดขึ้นจริง ไม่ใช่แค่ "กิจกรรม" ที่ทำไป เพื่อพิสูจน์ว่า "สิ่งที่ตั้งใจทำ ไม่เท่ากับผลที่เกิดขึ้น"
โอกาสทองในกระแสโลก ไทยต้องเร่งสร้างแบรนด์ที่ยั่งยืน
แรงผลักดันจากตลาดโลก ทั้ง มาตรการทางการค้า เช่น CBAM (Carbon Border Adjustment Mechanism) และ EUDR (EU Deforestation Regulation) รวมถึง พฤติกรรมผู้บริโภค ที่หันมาใส่ใจสุขภาพและความยั่งยืนมากขึ้น ถือเป็นโอกาสมหาศาลสำหรับธุรกิจเพื่อสังคมไทย
กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศชี้ว่า ภาครัฐพร้อมสนับสนุนการขยายตัวสู่ตลาดโลก ผ่านการสร้าง "มาตรฐาน"เช่น ตราสัญลักษณ์ T Mark, การส่งเสริม "นวัตกรรม" ด้วยการเชื่อมโยงงานวิจัยสู่ชุมชน, และการช่วยเหลือด้าน "การพัฒนาแบรนด์และการเล่าเรื่อง (Storytelling)" เพื่อสื่อสารคุณค่าของสินค้าไทยไปยังผู้ซื้อทั่วโลก
4 กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ 'Meaning' สำคัญกว่า 'Money'
ปัจจัยสำคัญสู่ความสำเร็จของธุรกิจเพื่อสังคมไม่ได้จำกัดอยู่แค่ "เงินทุน (Vitamin M)" แต่ต้องการกลยุทธ์ที่ลึกซึ้งกว่า
1. พลังแห่งความรู้เหนือกว่าเงินทุน: องค์กรใหญ่ควร "บริจาคความรู้" และความเชี่ยวชาญด้านการจัดการ การเงิน หรือการผลิต ให้กับชุมชนผ่านการเป็นพี่เลี้ยงและ "ลงมือทำเป็นแบบอย่าง (พาทำ)" ซึ่งสร้างผลกระทบที่ยั่งยืนกว่าการบริจาคเงินเพียงอย่างเดียว
2. คิดอย่างครบวงจร (Zero-Waste Philosophy): การพัฒนาผลิตภัณฑ์ต้องคิดให้ครบทั้งกระบวนการ เพื่อใช้ประโยชน์จากวัตถุดิบทุกส่วน และ ลดของเหลือทิ้ง สร้างมูลค่าสูงสุด
3. สร้าง "ความเป็นตัวจริง" (Authenticity): ธุรกิจต้องมี ภารกิจที่ชัดเจน รักษาคุณภาพที่สม่ำเสมอ และ สื่อสารเรื่องราวและคุณค่าของตนเอง ออกไปอย่างโปร่งใส เพื่อสร้างความแตกต่างจากคู่แข่ง
4. สร้างความร่วมมือและการขับเคลื่อน (Movement): ความท้าทายที่สุดคือการทำให้ธุรกิจเพื่อสังคมซึ่งมีจำนวนน้อย สามารถ "สร้างการเปลี่ยนแปลง" และแข่งขันกับธุรกิจกระแสหลักได้ การสร้าง "Movement" ที่ยิ่งใหญ่ต้องอาศัย Purpose (เป้าหมายชัดเจน), Technology (นวัตกรรม) และ Meaning (ความหมายร่วมกัน) ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
"ถ้าธุรกิจมี Meaning หรือมีความหมาย เงินก็จะมาหาคุณเอง" คือบทสรุปสำคัญที่เน้นย้ำว่า เมื่อธุรกิจสร้างคุณค่าที่แท้จริง ทรัพยากรและความช่วยเหลือต่างๆ รวมถึงเงินทุน จะตามมาสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนโดยธรรมชาติ







