วิกฤติประชากร ระเบิดเวลาลูกใหญ่ เกิดน้อย-พึ่งพิงเพิ่ม เศรษฐกิจไทยอาจชะงัก

วิกฤติประชากร ระเบิดเวลาลูกใหญ่ เกิดน้อย-พึ่งพิงเพิ่ม เศรษฐกิจไทยอาจชะงัก

ประเทศไทยเผชิญวิกฤติประชากรจากอัตราการเกิดใหม่ปี 2567 ที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทำให้สัดส่วนการพึ่งพิงและภาระของคนวัยทำงานในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยเผชิญวิกฤติประชากรจากอัตราการเกิดใหม่ปี 2567 ที่ต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี และคาดว่าจะเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอดในปี 2576
  • โครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนไปทำให้สัดส่วนการพึ่งพิงและภาระของคนวัยทำงานในการดูแลผู้สูงอายุเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
  • วิกฤตินี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อเศรษฐกิจของประเทศ อาจทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงาน ภาระสวัสดิการเพิ่มขึ้น และเศรษฐกิจโดยรวมชะงักงัน

ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม หากยังสั่นคลอนเส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ สัญญาณวิกฤติเริ่มชัดเจนจากการลดลงของอัตราการเกิด ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่ประมาณ 460,000 คน ต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี เทียบกับช่วงปี 2506–2526 ที่เคยมีเด็กเกิดใหม่กว่า 1 ล้านคนต่อปี และสูงสุดถึง 1.2 ล้านคนในปี 2514 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนทัศนคติใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่ชะลอหรือไม่ต้องการมีบุตร เนื่องจากปัจจัยหลายด้านร่วมกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูง และการแข่งขันในที่ทำงานเพิ่มขึ้น

“วราวุธ ศิลปะอาชา” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) ได้กล่าวถึงสถานการณ์วิกฤติซ้อนวิกฤติที่ประเทศไทยกำลังเผชิญหน้า โดยเน้นย้ำว่า วิกฤติประชากร (Demographic Crisis) เป็นปัญหาที่น่ากังวลที่สุดและเร่งด่วนที่สุด วิกฤตินี้ไม่ได้พูดถึงเพียงแค่การที่ประเทศกลายเป็นสังคมสูงอายุเท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาเด็กเกิดใหม่น้อยลงอย่างมาก ซึ่งเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ และสถานการณ์ในประเทศไทยเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำให้ยิ่งเลวร้ายลง

“คาดว่าภายในปี 2576 สัดส่วนนี้จะพุ่งขึ้นเป็น 28% ส่งผลให้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอด (Super Age Society) สิ่งที่น่าตกใจคือ ปี 2567 นี้ เป็น ปีแรกที่ประเทศไทยมีสถิติเด็กเกิดใหม่ไม่ถึง 500,000 คน โดยมีจำนวนเพียง 400,000 ปลายๆ เท่านั้น หากแนวโน้มนี้ยังดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไขอย่างจริงจัง ผลลัพธ์ที่ตามมาจะรุนแรงเกินคาด”

วิกฤติประชากร ระเบิดเวลาลูกใหญ่ เกิดน้อย-พึ่งพิงเพิ่ม เศรษฐกิจไทยอาจชะงัก

กระทบต่อเศรษฐกิจ-ความมั่นคง

นายวราวุธ ชี้ว่า การที่ประชากรลดลงและโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไป จะส่งผลกระทบในวงกว้าง ดังนี้

1. การขาดแคลนแรงงาน: แรงงานในประเทศจะหายไป

2. ภาระทางสวัสดิการ: กลุ่มคนในวัยทำงานจะต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายและสวัสดิการของผู้สูงอายุเพิ่มมากขึ้น

3. เศรษฐกิจชะงักงัน: เมื่อประชากรลดลง ทั้งอุปสงค์ และอุปทาน ก็จะลดลงตามไปด้วย ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศจะไม่สามารถก้าวข้ามกับดักรายได้ปานกลาง ไปได้

4. ความมั่นคงทางการเงินภาครัฐ: เมื่อคนทำงานน้อยลง ภาษีที่รัฐจะจัดเก็บได้ก็จะน้อยลงตามไปด้วยเป็นเงาตามตัว

5. ความเปราะบางของสังคม: นำไปสู่การล่มสลายของประชากร (Population Collapse) ครอบครัวจะมีความเปราะบาง ระบบสวัสดิการสังคมจะแบกรับไม่ไหว และอนาคตของทุกคนจะเต็มไปด้วยความไม่มั่นคง

“แม้ในปัจจุบันเราอาจจะยังไม่รู้สึกถึงผลกระทบเท่าไหร่ แต่ในอีกไม่นาน ผลกระทบในวงกว้างจะปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจน ทั้งในระดับตลาดแรงงาน ไปจนถึงระดับรายได้ของประเทศ”

นโยบาย “5x5 ฝ่าวิกฤติประชากร”

เพื่อหาทางรอดจากวิกฤติซ้อนวิกฤตินี้ กระทรวง พม. จัดทำนโยบาย “5x5” ประกอบด้วย 1. เสริมพลังของคนไปทำงาน: สร้างเสริมศักยภาพให้กับกลุ่มวัยทำงาน 2. ดูแลเด็กเล็ก: ทำอย่างไรให้เด็กที่มีน้อยแล้วมีคุณภาพมากขึ้น 3. ดูแลผู้สูงอายุ: ให้ผู้สูงอายุกลับเข้ามามีส่วนร่วมและมีผลิตภาพ (active/productivity) ใหม่ในสังคม 4. เสริมพลังคนพิการ: ให้คนพิการกลับมาเป็นผลิตภาพของสังคม และ 5. สร้างสังคมที่น่าอยู่ (Ecology): เพื่อจูงใจให้คนรุ่นใหม่นั้นมีครอบครัวและมีบุตร

“นโยบายนี้ถูกนำเสนอเข้าที่ประชุม ครม.แล้ว และได้นำไปนำเสนอต่อที่ประชุม Commission on Population and Development ของ UN เมื่อช่วงปลายเดือนเมษายนและต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา”

วัยทำงาน 2คน แบกรับผู้สูงอายุ 1 คน

“อนุกูล ปีดแก้ว” ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” โดยประชากรสูงอายุคิดเป็น 20.69% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ไทยติดอันดับ 17 ของโลกในประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากที่สุด

“สถิติปัจจุบันในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าประชากรวัยทำงาน 3 คน จำเป็นต้องแบกรับภาระการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน การคาดการณ์ระยะยาวชี้ให้เห็นว่าภายในปี 2587 อัตราส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายกว่า กล่าวคือ คนวัยทำงานเพียง 2 คน จะต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง”

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน ได้แก่ ภาระงบประมาณของรัฐที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ความท้าทายของสถาบันครอบครัวจากปรากฏการณ์ครอบครัวแหว่งกลางและผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาชญากรรมค้ามนุษย์ที่หันไปใช้เทคโนโลยีออนไลน์

อัตราส่วนพึ่งพิงของไทย

ธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่า อัตราส่วนการพึ่งพิงรวมของไทยล่าสุดในปี 2024 อยู่ที่ 43.09% เพิ่มขึ้นจาก 42.47% ในปี 2023 เมื่อเปรียบเทียบกับค่าเฉลี่ยของโลกที่อยู่ที่ 58.13% (จากข้อมูลของ 196 ประเทศ) ในเชิงประวัติศาสตร์ ค่าเฉลี่ยของประเทศไทยระหว่างปี 1960–2024 อยู่ที่ 59.69% โดยค่าต่ำสุดที่ 39.49% เกิดขึ้นในปี 2013 ขณะที่ค่าสูงสุดที่ 93.01% ถูกบันทึกไว้ในปี 1966 หากอัตราส่วนการพึ่งพิงสูงขึ้น หมายความว่าประชากรวัยทำงานและเศรษฐกิจโดยรวมต้องเผชิญภาระที่มากขึ้นในการดูแลประชากรวัยพึ่งพิง