ผุดไอเดีย สร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ นอกโลก แก้ปัญหาใช้พลังงานมาก ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

ผุดไอเดีย สร้าง ‘ดาต้าเซ็นเตอร์’ นอกโลก แก้ปัญหาใช้พลังงานมาก ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม

ย้าย “ดาต้าเซ็นเตอร์” ไว้นอกโลก ไอเดียช่วยโลกประหยัดพลังงาน แก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม มีทรัพยากรใช้ไม่จำกัด แต่ต้นทุนสูง ยังไม่รู้จะเป็นจริงได้วันไหน

KEY

POINTS

  • แนวคิดย้ายศูนย์ข้อมูล (ดาต้าเซ็นเตอร์) ไปยังอวกาศ เกิดขึ้นเพื่อแก้ปัญหาการใช้พลังงานและทรัพยากรน้ำมหาศาลบนโลก ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะโลกร้อน
  • ข้อดีของศูนย์ข้อมูลนอกโลกคือสามารถใช้พลังงานแสงอาทิตย์ได้อย่างไม่จำกัดตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยลดภาระด้านมลพิษบนโลก
  • บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำและสตาร์ทอัพหลายแห่ง เช่น OpenAI และ Thales Alenia Space กำลังผลักดันแนวคิดนี้ โดยมีการศึกษาความเป็นไปได้และเริ่มทดลองส่งอุปกรณ์ขึ้นไปในอวกาศแล้ว
  • อย่างไรก็ตาม โครงการยังเผชิญความท้าทายสำคัญ ทั้งในด้านต้นทุนที่สูง ปัญหาทางเทคนิคในการระบายความร้อนในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง และความยากลำบากในการซ่อมบำรุง

เอไอ” เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากขึ้นเรื่อย ๆ เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ กำลังเร่งสร้างศูนย์ข้อมูลเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะรู้ดีว่ากำลังทำให้โลกร้อน เพราะพลังงานมากกว่าครึ่งหนึ่งที่ใช้ขับเคลื่อนศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่เหล่านี้มาจากเชื้อเพลิงฟอสซิล และจำเป็นต้องใช้น้ำปริมาณมากในการระบายความร้อน

บริษัทชั้นนำด้านปัญญาประดิษฐ์หลายแห่ง จึงวางแผนจะย้ายศูนย์ข้อมูลไปไว้นอกโลก 

โแซม อัลท์แมน ซีอีโอของ OpenAI บอกกับธีโอ วอน ผู้จัดรายการพอดแคสต์ของ Manosphere ว่า “ผมเดาว่าโลกส่วนใหญ่คงเต็มไปด้วยศูนย์ข้อมูลเมื่อเวลาผ่านไป บางทีเราอาจจะสร้างศูนย์ข้อมูลในอวกาศ ผมหวังว่าจะมีข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้สำหรับคุณ แต่เรากำลังเจอปัญหาอยู่”

อัลท์แมนได้เสนอให้สร้างศูนย์ข้อมูลทรงกลมไดสันรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นโครงสร้างขนาดใหญ่สที่สร้างขึ้นรอบดวงดาว เพื่อกักเก็บพลังงานส่วนใหญ่ แต่แนวคิดนี้ค่อนข้างจะเกิดขึ้นได้ยาก เพราะอาจต้องใช้ทรัพยากรมากกว่าที่มีอยู่บนโลก และอาจทำให้ดาวเคราะห์นี้อยู่อาศัยไม่ได้ 

ฟังดูอาจเป็นเรื่องเพ้อเจ้อที่จะย้ายศูนย์ข้อมูลไปไว้นอกโลก แต่ แต่อัลท์แมนไม่ใช่คนเดียวที่กำลังพิจารณาเรื่องนี้ เจฟฟ์ เบซอส และเอริก ชมิดท์ ก็กำลังเดิมพันกับแนวคิดนี้เช่นกัน และบริษัทสตาร์ทอัพอย่าง Starcloud, Axiom และ Lonestar Data Systems ได้ระดมทุนหลายล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาศูนย์ข้อมูลในอวกาศ (แต่ไม่ได้เวอร์เท่าแนวคิดของอัลท์แมน)

สหรัฐมีศูนย์ข้อมูลอย่างน้อย 5,400 แห่ง ตั้งแต่ศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กไปจนถึงศูนย์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่สามารถรองรับเซิร์ฟเวอร์ได้หลายพันเครื่อง และจำนวนศูนย์ข้อมูลเหล่านี้กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว คาดว่าภายในปี 2028 ศูนย์ข้อมูลเหล่านี้จะใช้พลังงานไฟฟ้ามากถึง 12% จากทั้งหมดในประเทศ

ดังนั้น การนำศูนย์ข้อมูลเหล่านี้ไปใช้งานในอวกาศจึงอาจดูเหมือนเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะเป็นการแก้ปัญหาการใช้พลังงานด้วยพลังงานแสงอาทิตย์ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และช่วยให้ชุมชนต่าง ๆ หลุดพ้นจากภาระมลพิษทางอากาศ เสียง และน้ำ

ไม่เพียงเท่านั้น ศูนย์ข้อมูลบนอวกาศยังสามารถให้บริการเฉพาะทางแก่ยานอวกาศและสิ่งอำนวยความสะดวกทางอวกาศอื่น ๆ ได้ด้วย และการถ่ายโอนข้อมูลระหว่างอวกาศนั้นเร็วกว่าการถ่ายโอนจากภาคพื้นดิน

อาลี ฮาจิมิริ วิศวกรไฟฟ้าและศาสตราจารย์ประจำโครงการพลังงานแสงอาทิตย์อวกาศ (Space Solar Power Project) สถาบันเทคโนโลยีแคลิฟอร์เนีย (Caltech) ได้ยื่นขอจดสิทธิบัตรสำหรับ “ระบบคำนวณแบบพาราเรลขนาดใหญ่ในอวกาศ” ซึ่งก็คือศูนย์ข้อมูล 

ในตอนนี้ความเป็นไปยิ่งมากขึ้น เมื่อต้นทุนการปล่อยยานลดลง เหลือประมาณ 1,500 ดอลลาร์ต่อกิโลกรัม และแผงโซลาร์เซลล์ก็มีน้ำหนักเบาลงและมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ฮาจิมิริและเพื่อนร่วมงานได้เสนอระบบพลังงานแสงอาทิตย์บนอวกาศน้ำหนักเบา ซึ่งสามารถผลิตไฟฟ้าได้ 10 เซนต์ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ซึ่งถูกกว่าระบบที่เทียบเคียงกันบนโลกอย่างมาก

ในทางทฤษฎี เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถให้พลังงานแก่ศูนย์ข้อมูลในวงโคจรได้ เช่นเดียวกับที่อัลท์แมนจินตนาการไว้ แต่ฮาจิมิริจะยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถสร้างออกมาได้ในระดับอุตสาหกรรมหรือไม

ฮาจิมิริเชื่อว่าศูนย์ข้อมูลในอวกาศอาจเป็นทางออกที่ใช้งานได้จริงในอนาคต แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะทำได้จริง “แน่นอนว่ามันจะทำได้ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า คำถามคือมันจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน และจะคุ้มค่าแค่ไหน” เขากล่าว

ขณะที่ สตาร์ทอัพชื่อ Starcloud หวังที่จะปล่อยดาวเทียมขนาดเท่าตู้เย็นที่บรรจุชิป Nvidia ไว้สองสามตัว เมื่อเดือนสิงหาคม แต่วันปล่อยถูกเลื่อนออกไป

ส่วน Lonestar Data Systems ได้นำศูนย์ข้อมูลขนาดเล็กที่บรรจุข้อมูลมากมาย รวมถึงเพลงของวง Imagine Dragons ลงจอดบนดวงจันทร์เมื่อไม่กี่เดือนก่อน แม้ว่ายานลงจอดจะพลิกคว่ำและดับไปก็ตาม บริษัทมีแผนปล่อยยานแบบนี้อีกในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า 

Thales Alenia Space บริษัทร่วมทุนระหว่าง Thales และ Leonardo ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านอวกาศของฝรั่งเศสและอิตาลี ได้เผยแพร่ผลการศึกษา ระบุว่า การติดตั้งศูนย์ข้อมูลในอวกาศสามารถเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์ดิจิทัลของยุโรป และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น

Thales Alenia Space คาดการณ์ว่าจะสร้างกลุ่มดาวเทียม 13 ดวง ขนาดรวม 200 x 80 เมตร และมีกำลังประมวลผลข้อมูลรวมประมาณ 10 เมกะวัตต์ (MW) เทียบเท่ากับศูนย์ข้อมูลภาคพื้นดินขนาดกลางในปัจจุบันที่มีเซิร์ฟเวอร์ประมาณ 5,000 เครื่อง โดยอาศัยเทคโนโลยีที่มีอยู่แล้วหรืออยู่ระหว่างการพัฒนา ดาวเทียมเหล่านี้จะถูกประกอบขึ้นในวงโคจร

เดเมียน ดูเมสเทียร์ สถาปนิกโครงการ Ascend ของ Thales Alenia Space กล่าวว่า เพื่อให้ศูนย์ข้อมูลบนอวกาศเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่าศูนย์ข้อมูลภาคพื้นดินที่มีอยู่เดิม จำเป็นต้องทำให้เครื่องปล่อยจรวดปล่อยมลพิษน้อยลง 10 เท่าตลอดอายุการใช้งาน เขากล่าวว่าสิ่งนี้ดูเป็นไปได้ แต่ทั้งหมดก็ขึ้นอยู่กับการลงทุนและการตัดสินใจที่จะทำ ซึ่งก็ยังไม่รู้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อใด

อย่างไรก็ตาม ศูนย์ข้อมูลบนอวกาศไม่เพียงแต่ต้องการอุปกรณ์ข้อมูลเท่านั้น แต่ยังต้องการโครงสร้างพื้นฐานเพื่อปกป้อง จ่ายพลังงาน และระบายความร้อน ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนมีน้ำหนักและความซับซ้อน นอกจากนี้ การระบายความร้อนของอุปกรณ์จะเป็นปัญหาเฉพาะ เนื่องจากระบบระบายความร้อนแบบเดิมทำงานได้ไม่ดีนักหากไม่มีแรงโน้มถ่วง

ขณะเดียวกัน สภาพอากาศในอวกาศสามารถสร้างความเสียหายให้กับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่ปริมาณเศษซากในอวกาศที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้ฮาร์ดแวร์ทางกายภาพมีความเสี่ยง

ดร.โดเมนิโก วิซินันซา รองศาสตราจารย์ด้านระบบอัจฉริยะและวิทยาศาสตร์ข้อมูล มหาวิทยาลัยแองเกลีย รัสกิน กล่าวว่าการแก้ไขปัญหาในวงโคจรนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แม้จะมีหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติแล้ว ก็ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับสิ่งที่สามารถซ่อมแซมจากระยะไกลได้ หากระบบล้มเหลวครั้งใหญ่อาจจะต้องใช้มนุษย์ออกไปซ่อมแซม ซึ่งจะเกิดค่าใช้จ่ายสูง และอาจทำให้ระยะเวลาหยุดทำงานยาวนานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน

ขณะที่ แมทธิว ไวน์เซียร์ล นักเศรษฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ผู้ศึกษากลไกตลาดในอวกาศ กล่าวว่า ในอนาคตศูนย์ข้อมูลในอวกาศอาจนำมาใช้งานเฉพาะทาง เช่น การประมวลผลข้อมูลจากอวกาศและการให้บริการด้านความมั่นคงแห่งชาติ แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงเป็นคู่แข่งของศูนย์ข้อมูลภาคพื้นดินอยู่ดี 

ในตอนนี้ การตั้งศูนย์ข้อมูลในอวกาศมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าบนโลกแน่นอน แต่ศูนย์ข้อมูลนอกโลกก็ยังมีข้อได้เปรียบอยู่ คือ ยังไม่มีกฎระเบียบควบคุม การสร้างศูนย์ข้อมูลบนโลกจำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตจากเทศบาล และบริษัทต่าง ๆ อาจถูกขัดขวางโดยรัฐบาลท้องถิ่นที่ประชาชนกังวลว่าการพัฒนาศูนย์ข้อมูลอาจดูดน้ำ ใช้ไฟมากเกินไป  หรือทำให้โลกร้อนเกินไป

ที่มา: BBCBloombergThe ConversationWired