ปลดล็อกอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ ไขคำตอบทำไม 'ซีเมนต์-คอนกรีต' จึงเป็นดาวรุ่งดวงใหม่สู่ Net Zero ของโลก

แม้จะไร้ความหวือหวาเทียบเท่ารถยนต์ไฟฟ้าหรือพลังงานแสงอาทิตย์ แต่ "ซีเมนต์และคอนกรีต" คือตัวแปรสำคัญที่โลกจะขาดไม่ได้ในการก้าวสู่สังคมคาร์บอนต่ำ หากไม่เร่งพลิกโฉม ภารกิจ Net Zero ของโลกอาจเป็นเพียงความฝัน
KEY
POINTS
- อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตเป็นแหล่งปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบ 8% ของโลก การลดคาร์บอนในภาคส่วนนี้จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการบรรลุเป้าหมาย Net Zero
- แนวทางการลดการปล่อยคาร์บอนมุ่งเน้นการใช้วัสดุทดแทนเพื่อลดสัดส่วนปูนเม็ด (เช่น ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก) การใช้พลังงานทางเลือก และการนำเทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCUS) มาใช้
- ประเทศไทยมีเป้าหมาย "Thailand 2050 Net Zero Cement and Concrete Roadmap" โดยภาครัฐและเอกชนร่วมมือกันผลักดัน แต่ยังเผชิญความท้าทายด้านเงินทุนและตลาดที่ต้องอาศัยนโยบายสนับสนุน
ปูนซีเมนต์และคอนกรีต วัสดุก่อสร้างพื้นฐานที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลก แต่ใครจะรู้ว่าเบื้องหลังความแข็งแกร่งคือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาล ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 8% ของการปล่อยก๊าซทั่วโลก ทำให้หากอุตสาหกรรมนี้เป็นประเทศ ก็จะเป็นผู้ปล่อยมลพิษรายใหญ่อันดับ 3 รองจากจีนและสหรัฐฯ
แม้จะเป็นวาระร้อนแรงที่เหล่าผู้นำโลกและนักลงทุนควรให้ความสนใจ แต่ในเวทีสำคัญอย่างงาน New York Climate Weekระหว่างวันที่ 21-28 ก.ย. พ.ศ. 2568 อุตสาหกรรมนี้กลับไม่ได้รับความสนใจเท่าที่ควร ทว่าผู้เชี่ยวชาญต่างย้ำว่า หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่ในภาคส่วนนี้ เป้าหมาย Net Zero ของโลกจะไม่สามารถบรรลุได้
ทำไมการลดคาร์บอนในอุตสาหกรรมนี้จึงเป็นเรื่องยาก?
ความท้าทายหลักมี 2 ประการ
- การปล่อยคาร์บอนจากกระบวนการผลิต (60%): เกิดจากปฏิกิริยาทางเคมีเมื่อหินปูนถูกเผาที่อุณหภูมิสูงเพื่อผลิตปูนเม็ด (Calcination) ซึ่งจะปลดปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ออกมาโดยตรง การเปลี่ยนมาใช้เชื้อเพลิงสะอาดอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ
- การปล่อยคาร์บอนจากเชื้อเพลิงและพลังงาน (40%): เกิดจากความร้อนมหาศาลที่ใช้ในการเผาเตาเผา ซึ่งส่วนใหญ่มาจากถ่านหินหรือปิโตรเลียมโค้ก
การแก้ปัญหาจึงต้องครอบคลุมทั้งการใช้วัสดุทดแทนปูนเม็ด การใช้พลังงานทางเลือก เช่น พลังงานชีวมวลและขยะ และการนำเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง การดักจับและกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture, Utilization and Storage: CCUS) มาใช้ในทุกขั้นตอนของห่วงโซ่คุณค่า
โอกาสของประเทศไทยบนเส้นทางสู่ปูนคาร์บอนต่ำ
สำหรับประเทศไทย อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ก็เป็นหนึ่งในภาคส่วนสำคัญที่มีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนอย่างชัดเจน โดยสมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย (TCMA) ได้ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชนเพื่อผลักดันเป้าหมาย "Thailand 2050 Net Zero Cement and Concrete Roadmap" ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกของประเทศ (NDC Roadmap) โดยมีบางบริษัทได้เริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ปูนคาร์บอนต่ำรายแรกของประเทศแล้ว
ภาครัฐและภาคเอกชนไทยกำลังดำเนินการอย่างเข้มข้นในหลายด้าน
- การพัฒนาและส่งเสริมการใช้ "ปูนซีเมนต์ไฮดรอลิก": ซึ่งมีสัดส่วนปูนเม็ดน้อยกว่าปูนปอร์ตแลนด์ปกติ ช่วยลดการปล่อยคาร์บอนได้ตั้งแต่ต้นทาง และยังมีการกำหนดมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) เพื่อสนับสนุนการใช้งานอีกด้วย
- การนำเทคโนโลยี Co-processing: การนำขยะอุตสาหกรรมและวัสดุเหลือใช้มาเป็นเชื้อเพลิงทางเลือกในการผลิตปูนซีเมนต์ ช่วยลดการใช้ถ่านหินและแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
- โครงการความร่วมมือ: เช่น โครงการลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตในประเทศไทย (DCCE) ซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากองค์การพัฒนาอุตสาหกรรมแห่งสหประชาชาติ (UNIDO) และรัฐบาลแคนาดา เพื่อร่วมกันพัฒนากลยุทธ์และเชื่อมโยงทุกภาคส่วนในอุตสาหกรรม รวมถึง โครงการสระบุรีแซนด์บ็อกซ์ (Saraburi Sandbox) ที่มุ่งสร้างต้นแบบเมืองคาร์บอนต่ำ
อย่างไรก็ตาม อุปสรรคที่ต้องเผชิญยังคงมีอยู่
- ช่องว่างทางการเงิน (The 'Missing Middle' Funding Gap): เงินทุนสำหรับการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังคงขาดแคลน โครงการนำร่อง First-of-a-Kind (FOAK) มีความเสี่ยงสูงและต้องใช้เงินลงทุนมหาศาล ทำให้ยากต่อการระดมทุนจากแหล่งเงินทุนแบบดั้งเดิม
- การขาดแคลนข้อมูล: ข้อมูลด้านประสิทธิภาพและต้นทุนของเทคโนโลยีใหม่ ๆ ยังมีจำกัด ทำให้สถาบันการเงินไม่มั่นใจในการปล่อยสินเชื่อ
- ความท้าทายด้านตลาด: การสร้างแรงจูงใจให้ผู้ซื้อหันมาใช้ผลิตภัณฑ์คาร์บอนต่ำยังเป็นเรื่องยาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสินค้ามีราคาสูงกว่าปกติ
ทางออกคือ “การเงินแบบผสมผสาน” และ “นโยบายที่หนุนนำ”
เพื่ออุดช่องว่างดังกล่าว การระดมทุนแบบ "blended finance" ที่รวมเงินทุนหลายประเภทเข้าด้วยกันจึงเป็นสิ่งจำเป็น โดยเฉพาะการผสมผสานระหว่าง เงินทุนสาธารณะหรือเงินทุนสัมปทาน เพื่อดูดซับความเสี่ยงในระยะแรกเข้ากับ เงินทุนจากภาคเอกชน เพื่อสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
นอกจากนี้ นโยบายของภาครัฐ ก็เป็นตัวขับเคลื่อนที่สำคัญ เช่น การกำหนดมาตรฐานการจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐที่คำนึงถึงการลดคาร์บอน การสนับสนุนการใช้ ใบรับรองคุณสมบัติทางสิ่งแวดล้อม (Environmental Attribute Certificates: EACs)สำหรับซีเมนต์และคอนกรีต ซึ่งจะช่วยให้ผู้ซื้อสามารถอ้างสิทธิ์ในผลประโยชน์ด้านคาร์บอนได้แม้จะไม่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์จริงก็ตาม
อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์และคอนกรีตอาจไม่ใช่หัวข้อที่ "เซ็กซี่" ที่สุดในวงการพลังงานสะอาด แต่เป็นรากฐานที่สำคัญที่สุดสำหรับอนาคตที่ยั่งยืน การร่วมมือกันระหว่างผู้ผลิต นักเทคโนโลยี นักการเงิน และภาครัฐอย่างบูรณาการ จึงเป็นหัวใจสำคัญที่จะเปลี่ยน "ภาระหนี้สินคาร์บอน" ให้กลายเป็น "สินทรัพย์สีเขียว" ที่สร้างมูลค่าใหม่ให้แก่เศรษฐกิจโลกและประเทศไทยได้อย่างแท้จริง
ที่มา : สมาคมอุตสาหกรรมปูนซีเมนต์ไทย , World Economic Forum ,Global Cement and Concrete Association , สำนักงานมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม







