'จากวิกฤติขยะพลาสติก'สู่โอกาส ละตินอเมริกาสอนไทยสู้ภัยขยะ

'จากวิกฤติขยะพลาสติก'สู่โอกาส ละตินอเมริกาสอนไทยสู้ภัยขยะ

กัวเตมาลาและเอกวาดอร์กำลังเป็นเครื่องยืนยันว่า “ขยะพลาสติก” ไม่ใช่ปัญหาที่ไร้ทางออก หากแต่เป็นความท้าทายที่รอการเปลี่ยนผ่านสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน และนี่คือบทเรียนสำคัญที่ประเทศไทยควรนำมาปรับใช้ เพื่อสร้างอนาคตที่สะอาดขึ้น

KEY

POINTS

  • ภูมิภาคละตินอเมริกากำลังเปลี่ยนวิกฤตขยะพลาสติกให้เป็นโอกาส ผ่านการจัดการอย่างจริงจัง ซึ่งเป็นต้นแบบให้ไทยนำไปปรับใช้
  • ตัวอย่างความสำเร็จคือ กัวเตมาลาที่ลงทุนแก้ปัญหามลพิษในแม่น้ำ และเอกวาดอร์ที่ออกกฎหมายควบคุมพลาสติกใช้แล้วทิ้งเพื่อปกป้องหมู่เกาะกาลาปาโกส
  • บทเรียนสำคัญสำหรับไทยคือความจำเป็นในการสร้างความร่วมมืออย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วน ทั้งรัฐ เอกชน และประชาสังคม เพื่อกำหนดนโยบายและเป้าหมายที่ชัดเจน

จากแม่น้ำโมตากัวในกัวเตมาลาถึงหมู่เกาะกาลาปาโกสในเอกวาดอร์ วิกฤตมลพิษจากพลาสติกกำลังคุกคามระบบนิเวศและวิถีชีวิตผู้คนอย่างหนักหน่วง โดยเฉพาะในภูมิภาคละตินอเมริกาและแคริบเบียน ที่มีขยะพลาสติกที่จัดการไม่เหมาะสมกว่า 8 ล้านตันต่อปี แต่ท่ามกลางวิกฤตนี้ ภูมิภาคนี้กลับกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกในการเปลี่ยนปัญหาให้เป็นโอกาสสำคัญ ด้วยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน

กัวเตมาลา แม่น้ำโมตากัวและบทเรียนสู่ความหวัง

แม่น้ำโมตากัวในกัวเตมาลา หนึ่งในแม่น้ำที่ขึ้นชื่อว่าเน่าเสียที่สุดในภูมิภาค ได้รับผลกระทบจากขยะพลาสติกกว่า 2% ของขยะพลาสติกทั้งหมดที่ไหลลงสู่มหาสมุทรทั่วโลก รัฐบาลกัวเตมาลาตอบสนองอย่างรวดเร็วด้วยการลงทุนครั้งใหญ่กว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ จากธนาคารเพื่อการพัฒนาระหว่างอเมริกา (IDB) เพื่อสร้างโรงบำบัดน้ำเสียและสิ่งอำนวยความสะดวกในการจัดการขยะ นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งเครื่องกั้นแม่น้ำและปิดพื้นที่ทิ้งขยะแห่งหนึ่งในกัวเตมาลาซิตี เพื่อควบคุมการรั่วไหลของขยะ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการแก้ปัญหาระดับท้องถิ่นที่ส่งผลกระทบระดับโลก

เอกวาดอร์ พิทักษ์มรดกโลกที่หมู่เกาะกาลาปาโกส

หมู่เกาะกาลาปาโกส ซึ่งเป็นแหล่งรวมสัตว์หายากที่ไม่มีที่ไหนในโลก แม้จะสร้างขยะพลาสติกน้อยมาก แต่กระแสน้ำในมหาสมุทรกลับนำขยะจากทั่วแปซิฟิกมาคุกคามระบบนิเวศที่เปราะบางนี้ รัฐบาลเอกวาดอร์จึงออกกฎหมายควบคุมพลาสติกใช้แล้วทิ้ง เช่น ถุงพลาสติก หลอด และภาชนะบรรจุอาหาร พร้อมทั้งสนับสนุนมาตรการเศรษฐกิจหมุนเวียนและตั้งเป้าลดมลพิษจากพลาสติก 60% ภายในปี พ.ศ. 2583 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565  ไม่ว่าจะเป็น

  • กฎหมายว่าด้วยการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว: ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 รัฐบาลได้เริ่มบังคับใช้กฎหมายที่ห้ามการนำเข้า การจำหน่าย และการใช้พลาสติกประเภทใช้ครั้งเดียวทิ้งบางชนิดในหมู่เกาะกาลาปาโกส เช่น ถุงพลาสติก หลอด และภาชนะบรรจุอาหารประเภทโฟม ซึ่งถือเป็นความพยายามครั้งสำคัญในการปกป้องแหล่งมรดกโลก
  • แผนแม่บทระดับชาติ (Roadmap for Action on Plastics): เอกวาดอร์ได้จัดทำแผนแม่บทที่อิงหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และข้อมูลเชิงลึก เพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่เศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างเป็นระบบ โดยตั้งเป้าลดมลพิษจากพลาสติกให้ได้ถึง 60% ภายในปี พ.ศ. 2583 เมื่อเทียบกับปี พ.ศ. 2565

ความพยายามเหล่านี้ตอกย้ำว่าการปกป้องกาลาปาโกสไม่เพียงเป็นหน้าที่ของชาติแต่เป็นความรับผิดชอบของคนทั้งโลก

บทเรียนสำหรับประเทศไทย ความร่วมมือคือหนทางสู่ความสำเร็จ

สำหรับประเทศไทยซึ่งเป็นหนึ่งในประเทศที่มีขยะพลาสติกในทะเลสูง การร่วมมือจากภาครัฐ ภาคเอกชน และภาคประชาสังคมอย่างจริงจังตามแบบอย่างของละตินอเมริกาเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประชุมเพื่อหาข้อสรุปสนธิสัญญาว่าด้วยมลพิษพลาสติกระดับโลกที่กรุงเจนีวา เมื่อเดือน ส.ค. 2568 ยังไม่ได้ข้อสรุปร่วมกัน ทำให้บทบาทของผู้นำระดับภูมิภาคมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น

ประเทศไทยได้ให้คำมั่นที่จะเข้าร่วมข้อตกลงระดับโลกดังกล่าว และหากไม่มีมาตรการที่มีนัยสำคัญ ขยะพลาสติกที่รั่วไหลสู่สิ่งแวดล้อมทั่วโลกอาจเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าภายในปี  พ.ศ. 2603 ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง

ความพยายามในการจัดการขยะพลาสติกของประเทศไทยมีให้เห็นบ้างแล้ว เช่น โครงการ Circular in Action ที่มุ่งส่งเสริมเศรษฐกิจหมุนเวียน การลดใช้พลาสติก และการสร้างความเข้าใจในหมู่ประชาชน

แต่การจะเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสอย่างยั่งยืนได้นั้น ต้องอาศัยความร่วมมืออย่างเป็นระบบจากทุกภาคส่วน เพื่อกำหนดนโยบายที่เป็นรูปธรรมและมีเป้าหมายที่ชัดเจน ดังเช่นที่ประเทศในกลุ่มละตินอเมริกาและแคริบเบียนได้แสดงให้เห็น

ที่มา : World Economic Forum