'ประชากร 8 ล้านคนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย' ธนาคารโลกจี้รัฐเร่งการรับมือ ลั่น 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง'

'ประชากร 8 ล้านคนอยู่ในพื้นที่เสี่ยงภัย' ธนาคารโลกจี้รัฐเร่งการรับมือ ลั่น 'ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง'

ผลวิจัยชี้ GDP ไทยเสี่ยงลดฮวบ 7-14% ในปี 2593 หากไม่จัดการภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง กลุ่มเปราะบาง 9.4 ล้านคนอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงสุด 8 ล้านคน เผชิญภัยคุกคามจากน้ำท่วม-ภัยแล้งโดยตรง

KEY

POINTS

  • ธนาคารโลกเตือนว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอาจฉุด GDP ไทยลดลง 7-14% ภายในปี 2593 โดยมีประชากร 8 ล้านคนกำลังเผชิญความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติโดยตรง
  • ความสามารถในการปรับตัวของชุมชนเปราะบางถูกจำกัดจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง ทุนทางสังคมที่อ่อนแอ และข้อจำกัดด้านงบประมาณ และกฎระเบียบของภาครัฐ
  • ธนาคารโลกเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งบูรณาการความร่วมมือทุกระดับ ใช้ข้อมูลที่แม่นยำ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชนเพื่อช่วยเหลือกลุ่มเสี่ยงตามหลักการ "ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง"

ผลวิจัยชี้ GDP ไทยเสี่ยงลดฮวบ 7-14% ในปี 2593 หากไม่จัดการภาวะโลกร้อนอย่างจริงจัง กลุ่มเปราะบาง 9.4 ล้านคนอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงสุด 8 ล้านคนเผชิญภัยคุกคามจากน้ำท่วม-ภัยแล้งโดยตรง การปรับตัวของชุมชนถูกฉุดรั้งจากหนี้ครัวเรือนสูง และทุนทางสังคมที่อ่อนแอ ขณะที่หน่วยงานรัฐยังติดขัดเรื่องงบประมาณ และกฎระเบียบ

ภมรรัตน์ ต้นสงวนวงษ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาสังคมอาวุโส ธนาคารโลก (World Bank) กล่าวใน ช่วง Word Cafe ของงาน Social Development Expo 2025 (SDx 2025) ว่าผลกระทบที่รุนแรง และไม่เท่าเทียมกันจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทย ซึ่งกำลังสั่นคลอนหลักการพัฒนาที่มุ่งจะ “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง”

ผลการศึกษาคาดการณ์ว่า หากไม่มีมาตรการรับมือที่เป็นรูปธรรม ภาวะโลกร้อนอาจทำให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ของไทยลดลงอย่างมหาศาลถึง 7-14% ภายในปี 2593 โดยผลกระทบดังกล่าวไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม แต่พุ่งเป้าไปที่กลุ่มประชากรเปราะบางกว่า 9.4 ล้านคน ซึ่งในจำนวนนี้มีถึง 8 ล้านคน ที่กำลังเผชิญกับความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม ภัยแล้ง การกัดเซาะชายฝั่ง และอุณหภูมิที่สูงขึ้น

ผลกระทบที่ไม่เท่าเทียม ข้อมูลเชิงประจักษ์ และความท้าทาย

รายงานชี้ว่าปัญหาที่น่ากังวลที่สุดคือ “ผลกระทบที่ไม่เท่าเทียมกัน” ในสังคมไทย ซึ่งทำให้ช่องว่างความเหลื่อมล้ำยิ่งถ่างกว้างขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ข้อมูล ณ ต้นปี 2568 ยืนยันว่าประชากรกลุ่มเปราะบางจำนวนมหาศาลกำลังอาศัยอยู่ในพื้นที่ ที่มีความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะกลุ่มที่พึ่งพาอาชีพที่อ่อนไหวต่อสภาพอากาศ เช่น เกษตรกร ชาวประมง และแรงงานกลางแจ้ง

ความสามารถในการรับมือ และปรับตัวของประชากรกลุ่มนี้ถูกจำกัดด้วยปัจจัยเชิงโครงสร้างหลายประการ ได้แก่ ที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ ที่อาศัยในพื้นที่เสี่ยงภัย, สถานะทางเศรษฐกิจ และสังคม ที่เป็นตัวกำหนดทรัพยากรในการรับมือ, วิถีชีวิต และวัฒนธรรม ที่อาจเพิ่มความเปราะบาง, การเข้าถึงทรัพยากร และบริการ ทั้งบริการสาธารณะ แหล่งทุน และข้อมูล และที่สำคัญคือ อำนาจในการตัดสินใจ ที่น้อยกว่า ทำให้ไม่สามารถกำหนดนโยบายหรือมาตรการที่ส่งผลต่อตนเองได้อย่างแท้จริง

3 ปัจจัยหลักฉุดรั้งความสามารถในการปรับตัว

รายงานฉบับนี้ชี้ให้เห็นถึง 3 ปัจจัยหลักที่ขัดขวางความสามารถของชุมชนในการปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ได้แก่

1.เศรษฐกิจครัวเรือนที่พึ่งพิงสภาพอากาศ : ครัวเรือนจำนวนมากมีรายได้จากภาคส่วนที่เปราะบาง เช่น เกษตรกรรม และการประมง อีกทั้งยังมีหนี้ครัวเรือนสูง และเงินออมต่ำ ทำให้ขาดภูมิคุ้มกันทางการเงิน นอกจากนี้ ปัญหาการขาดเอกสารสิทธิในที่ดินทำกิน ยังเป็นอุปสรรคสำคัญที่ทำให้พวกเขาไม่สามารถเข้าถึงแหล่งทุนหรือพัฒนาที่ดินได้อย่างเต็มที่ ดังเช่นตัวอย่างของราษฎรบนพื้นที่สูงในภาคเหนือที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ป่าสงวน

2.ความเหนื่อยล้าของทุนทางสังคม : แม้คนไทยจะมีวัฒนธรรมช่วยเหลือเกื้อกูล แต่ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นซ้ำๆ ได้บั่นทอนความสามัคคี และลดทอนความช่วยเหลือระหว่างกัน นอกจากนี้การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรสู่สังคมสูงวัยยังทำให้กำลังในการฟื้นตัวของชุมชนลดลง เนื่องจากคนวัยแรงงานย้ายถิ่นฐานออกจากชุมชนไปทำงานในเมืองใหญ่

3.ข้อจำกัดของหน่วยงานสนับสนุน : หน่วยงานภาครัฐที่ทำหน้าที่สนับสนุนยังคงเผชิญกับอุปสรรคด้านงบประมาณ กฎระเบียบที่ไม่ยืดหยุ่น และการขาดการประสานงานที่มีประสิทธิภาพ ทำให้การส่งต่อความช่วยเหลือเป็นไปอย่างล่าช้า และไม่ตรงจุด แม้จะมีความพยายามของชุมชนในการช่วยเหลือตนเอง แต่ความพยายามในระดับท้องถิ่นเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องได้รับการสนับสนุนเชิงระบบอย่างเร่งด่วน

ข้อเสนอแนะเชิงรุกเพื่อลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำ

เพื่อแก้ไขสถานการณ์ดังกล่าว รายงานเสนอแนะมาตรการเชิงรุกที่สำคัญ 4 ด้าน ได้แก่

  • การใช้ข้อมูลแม่นยำเพื่อระบุเป้าหมาย : ใช้ข้อมูลเชิงลึกเพื่อระบุตำแหน่งของชุมชนเปราะบาง และจัดลำดับความสำคัญในการส่งมอบความช่วยเหลือให้ตรงจุด และมีประสิทธิภาพที่สุด
  • ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของชุมชน : เปิดโอกาสให้คนในชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมในการ ร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมทำ และร่วมรับประโยชน์ จากมาตรการต่าง ๆ อย่างแท้จริง เพื่อให้แน่ใจว่าการแก้ไขปัญหาเป็นไปตามความต้องการ และบริบทของท้องถิ่น
  • บูรณาการความร่วมมือทุกระดับ : เร่งเสริมสร้างศักยภาพ และจัดสรรงบประมาณให้แก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ซึ่งเป็นหน่วยงานด่านหน้า เพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของประชาชนได้อย่างทันท่วงที รวมถึงการสร้างกลไกการประสานงานระหว่างหน่วยงานทุกระดับให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • คำนึงถึงมิติทางเพศภาวะ : บูรณาการมิติทางเพศเข้ามาในทุกขั้นตอนของมาตรการ เพื่อให้แน่ใจว่านโยบายต่างๆ จะตอบสนองต่อความต้องการที่แตกต่างกันของประชากรแต่ละกลุ่มได้อย่างครอบคลุม และไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง

ธนาคารโลกเตรียมเผยแพร่รายงานฉบับเต็มเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในประเทศไทยภายในสิ้นเดือนนี้ ซึ่งคาดว่าจะนำไปสู่การหารือเชิงนโยบายเพื่อหาทางออกในระดับชาติอย่างเร่งด่วน

 

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์