วิกฤติ 'ความหลากหลายทางชีวภาพ' แต่รัฐลงทุนไม่ถึง 1% ของงบฯ

นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของป่าไม้หรือสัตว์ป่า แต่คือการอยู่รอดของเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทยที่กำลังเผชิญกับ “ช่องว่างทางการเงิน” มหาศาล
KEY
POINTS
- ประเทศไทยเผชิญวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพรุนแรง ขณะที่ภาครัฐจัดสรรงบประมาณเพื่อดูแลด้านนี้ไม่ถึง 1% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด
- ทางออกของปัญหาไม่ได้อยู่ที่ภาครัฐเพียงฝ่ายเดียว แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของภาคธุรกิจจากกิจกรรมเพื่อสังคม (CSR) สู่โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน
- มีตัวอย่างความสำเร็จ เช่น การบินไทยเปลี่ยนขยะและเครื่องยนต์เก่าสร้างรายได้นับพันล้าน และมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงที่ร่วมมือกับชุมชนสร้างรายได้จากป่ากว่า 150 ล้านบาท
- มีการเสนอแนวทางแก้ปัญหาทางการเงินอื่นๆ เช่น การให้ท้องถิ่นเก็บค่าธรรมเนียมจากนักท่องเที่ยว และการผลักดันตลาดคาร์บอนเครดิตเพื่อดึงดูดการลงทุน
นี่ไม่ใช่แค่เรื่องของป่าไม้หรือสัตว์ป่า แต่คือการอยู่รอดของเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมไทยที่กำลังเผชิญกับ “ช่องว่างทางการเงิน” มหาศาล บทสรุปจากเวทีผู้บริหารเผย ทางออกไม่ได้อยู่แค่รัฐบาล แต่คือการเปลี่ยนวิธีคิดของภาคธุรกิจจาก CSR แบบเดิม ๆ สู่ โมเดลธุรกิจที่ยั่งยืน สร้างรายได้พร้อม ๆ กับฟื้นฟูธรรมชาติ การบินไทยเปลี่ยนขยะเป็นเงินได้พันล้าน! ขณะที่มูลนิธิแม่ฟ้าหลวงพิสูจน์แล้วว่า “การบ้านกลุ่ม” ที่ให้ชุมชนเป็นพระเอก ดึงภาคเอกชนร่วมด้วยช่วยกัน สร้างรายได้ให้ท้องถิ่นได้กว่า 150 ล้านบาท
สถานการณ์ความยั่งยืนของไทย วิกฤตที่ใกล้ตัวกว่าที่คิด
ณนิรันดร์ นิรันดร์นุต Country Project Manager, UNDP Biodiversity Finance Initiative (BIOFIN) กล่าวในงาน MFLF Sustainability Forum 2025 ภายใต้หัวข้อ "วิกฤตโลก ทางออกไทย" ช่วงเสวนา 2: "กุญแจสู่การอยู่รอดของคนและธรรมชาติ" จัดโดย มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ ว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญกับวิกฤติความหลากหลายทางชีวภาพขั้นรุนแรง แม้เราจะภาคภูมิใจที่การท่องเที่ยวซึ่งพึ่งพิงธรรมชาติสร้างรายได้ให้ประเทศถึง 18-20% ของ GDP แต่การลงทุนเพื่อปกป้องทรัพยากรเหล่านี้กลับน้อยจนน่าตกใจ ภาครัฐจัดสรรงบประมาณด้านความหลากหลายทางชีวภาพ ไม่ถึง 1% ของงบประมาณแผ่นดินทั้งหมด หรือคิดเป็นเพียง 0.1% ของ GDP ซึ่งตัวเลขนี้สวนทางอย่างสิ้นเชิงกับเงินทุนที่จำเป็นในระดับโลกซึ่งต้องการเงินเพิ่มกว่า 7 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี นี่คือสัญญาณอันตรายที่ชี้ชัดว่า เราไม่สามารถปล่อยให้เป็นหน้าที่ของภาครัฐแต่เพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไปแล้ว
พลิกเกมธุรกิจ จาก “ช่วยสังคม” สู่ “สร้างรายได้”
ยุคของ CSR (Corporate Social Responsibility) ที่เป็นแค่กิจกรรมเพื่อสังคมแบบผิวเผินกำลังจะหมดไป บริษัทต่าง ๆ กำลังปรับตัวสู่ Sustainable Business Models หรือโมเดลธุรกิจที่ฝังความยั่งยืนไว้ใน DNA ขององค์กร
ทวิโรจน์ ทรงกำพล ประธานเจ้าหน้าที่สายกลยุทธ์องค์กร บริษัท การบินไทย จำกัด มหาชน กล่าวว่า ตัวอย่างที่น่าสนใจคือ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ซึ่งในช่วงที่ฟื้นฟูกิจการ ได้เปลี่ยนมุมมองจากการทำ CSR ไปสู่การสร้างความยั่งยืนจากแกนกลางของธุรกิจ โดยเปลี่ยนจากคำขวัญ "รักคุณเท่าฟ้า" สู่เป้าหมาย "สายการบินที่คนในชาติภาคภูมิใจ" ซึ่งไม่ได้หมายถึงแค่การให้บริการที่ดีที่สุด แต่คือการสร้างคุณค่าที่ยั่งยืนให้กับสังคมและสิ่งแวดล้อม
- From Waste to Wealth: การบินไทยเปลี่ยน "ขยะ" ให้เป็น "โอกาส" ที่จะสร้างรายได้และคุณค่า โดยนำเครื่องแบบพนักงานเก่ามารีไซเคิลร่วมกับเส้นใยจากขวดพลาสติก PET รวมถึงนำเบาะเครื่องบินที่หมดอายุการใช้งานมาสร้างเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ เช่น กระเป๋า และหมอนอิง นอกจากนี้ ทีมช่างของการบินไทยยังนำเครื่องยนต์ที่ปลดประจำการมาซ่อมแซมและประกอบใหม่เพื่อขายต่อ สร้างรายได้ให้องค์กรในระดับพันล้านบาท
- From Purple to Purpose: ทุกกิจกรรมมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น การนำกาแฟจากมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ ขึ้นเสิร์ฟในทุกเที่ยวบินเพื่อสนับสนุนเกษตรกรท้องถิ่นและกระจายรายได้สู่ชุมชน
"การบ้านกลุ่ม" ภาคเอกชนจับมือกับชุมชนเป็นครั้งแรก
สมิทธิ หาเรือนพืชน์ หัวหน้าสายงาน Nature-based Solutions มูลนิธิแม่ฟ้าหลวง ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่าโครงการป่าชุมชนของมูลนิธิแม่ฟ้าหลวงฯ คือตัวอย่างที่ดีที่สุดของ ความร่วมมืออย่างบูรณาการ โดยให้ชุมชนเป็น "พระเอก" และภาคเอกชนเป็น "พันธมิตร"
- ผลลัพธ์ที่จับต้องได้: โครงการนี้สร้างรายได้กลับคืนสู่ชุมชนแล้วกว่า 150 ล้านบาท จากการบริหารจัดการป่าอย่างเป็นระบบ
- เปิดข้อมูล Open Data: ทุกข้อมูลของป่าชุมชนถูกเปิดเผยให้ตรวจสอบได้ เพื่อสร้างความโปร่งใสและความเชื่อมั่น และพันธมิตรภาคเอกชนทุกรายต้องลงพื้นที่จริง 100% ตั้งแต่ผู้บริหารระดับสูงจนถึงพนักงาน เพื่อเห็นปัญหาและลงมือแก้ไขร่วมกัน
- จากป่าเสื่อมโทรมสู่โอกาสทางธุรกิจ: มูลนิธิฯ มองว่าป่าเสื่อมโทรมกว่า 4-5 ล้านไร่ในประเทศคือ "โอกาส" ที่จะสามารถฟื้นฟูได้ผ่านกลไกธุรกิจ หากภาคส่วนต่าง ๆ ร่วมมือกันอย่างจริงจัง
ทางรอดของท้องถิ่น เมื่อชุมชนมีอำนาจเก็บ "ค่าธรรมเนียม" เองได้!
ภาครัฐก็มีบทบาทสำคัญในการสร้าง กลไกนวัตกรรมทางการเงิน เพื่อแก้ปัญหาที่ตรงจุด
- เกาะเต่า: นักท่องเที่ยวเกือบ 7 แสนคนต่อปี สร้างรายได้มหาศาล แต่ก็สร้างปัญหาขยะและทำลายปะการัง ท้องถิ่นจึงได้อำนาจในการ จัดเก็บค่าธรรมเนียม 20 บาท จากนักท่องเที่ยวเพื่อนำเงินมาดูแลสิ่งแวดล้อมโดยตรง ซึ่งเป็นโมเดลที่ยั่งยืนกว่าการรอแค่เงินจากส่วนกลาง
- เทศบาลปากเกร็ด: นำเงินจากภาษีที่ดินที่เก็บได้ถึง 17% หรือ 372 ล้านบาท มาดูแลพื้นที่สีเขียวและรักษา “สวนทุเรียนนนท์” ซึ่งเป็นมรดกท้องถิ่นที่มีมูลค่าสูง
การขับเคลื่อนระดับประเทศ ตลาดคาร์บอนเครดิตคือความหวังใหม่ของป่าไม้ไทย
เพื่อผลักดันเป้าหมาย Net Zero ของประเทศ ภาครัฐกำลังเร่งสร้างความแข็งแกร่งให้กับ ตลาดคาร์บอนเครดิต โดยมี T-VER (Thailand Voluntary Emission Reduction) เป็นเครื่องมือสำคัญ
- ยกระดับสู่สากล: TGO กำลังดำเนินการขอการรับรองจาก Verra ซึ่งเป็นมาตรฐานคาร์บอนเครดิตระดับโลก และยื่นข้อเสนอ Premium T-VER ให้กับ ICAO (องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ) เพื่อใช้ในการชดเชยคาร์บอนของภาคการบิน
- ปลดล็อกศักยภาพ: การปรับแก้กฎระเบียบทำให้การถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตไปต่างประเทศทำได้ง่ายขึ้น สิ่งนี้จะช่วยปลดล็อกให้ภาคป่าไม้ไทยกลายเป็นกลไกสำคัญในการดึงดูดการลงทุนและช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- ไม่จำกัดแค่คาร์บอน: ป่าไม้ไม่ใช่แค่ตัวดูดซับคาร์บอน แต่ยังเป็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิต ป้องกันดินถล่ม และฟอกอากาศ การสนับสนุนกลไกคาร์บอนเครดิตจึงเป็นการปกป้องป่าแบบองค์รวม
นี่คือการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ของประเทศไทย ที่ไม่ได้มองความยั่งยืนเป็นแค่ “ความรับผิดชอบ” แต่เป็น “โอกาส” ที่จะสร้างรายได้ สร้างงาน และสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้กับทุกคน







