ไทยเสี่ยงวิกฤติประชากร วัยทำงานทุก 2 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ความท้าทายรอบด้าน

ไทยเสี่ยงวิกฤติประชากร วัยทำงานทุก 2 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ความท้าทายรอบด้าน

ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบแล้ว โดยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมสูงอายุขั้นสุดยอดภายในปี 2576

KEY

POINTS

  • ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบแล้ว โดยมีประชากรอายุเกิน 60 ปี คิดเป็นสัดส่วนกว่า 20% และคาดว่าจะกลายเป็นสังคมสูงอายุขั้นสุดยอดภายในปี 2576
  • ภาระของประชากรวัยทำงานจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก โดยมีการคาดการณ์ว่าภายในปี 2587 วัยทำงานเพียง 2 คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน
  • วิกฤติประชากรส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง สร้างความท้าทายทั้งด้านงบประมาณรัฐที่สูงขึ้น ปัญหาการขาดแคลนแรงงาน และความเปราะบางของโครงสร้างครอบครัว
  • อัตราการเกิดใหม่ที่ลดลงต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี เป็นสาเหตุสำคัญที่เร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรอย่างรุนแรง

 

 

 

ประเทศไทยกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรที่รุนแรงที่สุดในรอบศตวรรษ ท่ามกลางแรงกดดันจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น สถานการณ์นี้ถูกนิยามว่าเป็น “วิกฤติซ้อนวิกฤติ” ซึ่งไม่เพียงกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและสังคม หากยังสั่นคลอนเส้นทางการพัฒนาอย่างยั่งยืนของประเทศ

สัญญาณวิกฤติเริ่มชัดเจนจากการลดลงของอัตราการเกิด ปี 2567 มีเด็กเกิดใหม่เพียง 460,000 คน ต่ำที่สุดในรอบกว่า 70 ปี เทียบกับช่วงปี 2506–2526 ที่เคยมีเด็กเกิดใหม่กว่า 1 ล้านคนต่อปี และสูงสุดถึง 1.2 ล้านคนในปี 2514 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนทัศนคติใหม่ของคนรุ่นปัจจุบันที่ชะลอหรือไม่ต้องการมีบุตร เนื่องจากปัจจัยหลายด้านร่วมกัน ทั้งด้านเศรษฐกิจที่ค่าครองชีพสูง และการแข่งขันในที่ทำงานเพิ่มขึ้น

ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ

"อนุกูล ปีดแก้ว" ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวในงาน Social Development Expo 2025 (SDX 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises ว่า ตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ประเทศไทยเข้าสู่ “สังคมผู้สูงอายุเต็มรูปแบบ” โดยประชากรสูงอายุคิดเป็น 20.69% ของประชากรทั้งหมด ทำให้ไทยติดอันดับ 17 ของโลกในประเทศที่มีประชากรสูงวัยมากที่สุด และการคาดการณ์ระบุว่า ภายในปี 2576 สัดส่วนนี้จะพุ่งขึ้นเป็น 28% ส่งผลให้ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุขั้นสุดยอด

ไทยเสี่ยงวิกฤติประชากร วัยทำงานทุก 2 คน ดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ความท้าทายรอบด้าน

“สิ่งที่น่ากังวลที่สุดคือ ภาระการดูแลของคนวัยทำงานที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันในปี 2567 คนวัยทำงาน 3 คน ต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน แต่ภายในปี 2587 อัตราส่วนพึ่งพิงจะลดลงเหลือเพียง วัยทำงาน 2 คน ต่อผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนแรงว่าระบบเศรษฐกิจ สวัสดิการ และครอบครัวไทยจะต้องเผชิญแรงกดดันมหาศาล”

ผลกระทบต่อ “ความยั่งยืน”

วิกฤติประชากร กำลังกลายเป็นแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ที่ส่งผลโดยตรงต่อเส้นทางสู่ความยั่งยืนของสังคมไทย ดังนี้

  • งบประมาณรัฐบานปลาย : ค่าใช้จ่ายด้านบำนาญ การแพทย์ และสวัสดิการสังคมจะพุ่งสูงขึ้น
  • ครอบครัวเปราะบาง : โครงสร้างครอบครัวเปลี่ยนจากครอบครัวขยายเป็นครอบครัวเดี่ยวหรือ “แหว่งกลาง” ทำให้ผู้สูงอายุจำนวนมากต้องอยู่ลำพัง
  • แรงงานขาดแคลน : ฐานแรงงานหดตัว สวนทางกับความต้องการแรงงานในอุตสาหกรรมที่แข่งขันสูง
  • อาชญากรรมยุคดิจิทัล : ผู้สูงอายุจำนวนมากกลายเป็นเป้าหมายของอาชญากรรมออนไลน์ และการค้ามนุษย์ในรูปแบบใหม่

“อนุกูล” ย้ำว่า นี่ไม่ใช่แค่วิกฤติประชากร แต่เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติที่เชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเปราะบางของระบบเศรษฐกิจสังคมไทย การสร้างความยั่งยืนต้องเริ่มตั้งแต่การปรับนโยบาย การพัฒนาทักษะแรงงาน ไปจนถึงการสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุที่มีคุณภาพ และครอบคลุม

ไทยจำเป็นต้องมองปัญหานี้ในเชิง “ความมั่นคงของสังคมและความยั่งยืน” ไม่ใช่แค่เชิงประชากรศาสตร์ การสร้างแรงจูงใจให้คนรุ่นใหม่มีครอบครัว การดึงศักยภาพผู้สูงอายุที่ยังทำงานได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ การใช้เทคโนโลยีหุ่นยนต์ และ AI ช่วยงานดูแลผู้สูงอายุ รวมถึงการพัฒนาสวัสดิการที่ยืดหยุ่น ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญที่จะช่วยให้สังคมไทยก้าวผ่านภาวะประชากรเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่

 

 

พิสูจน์อักษร....สุรีย์  ศิลาวงษ์