ไต้หวัน จุดเปลี่ยนพลังงานสะอาดแห่งเอเชียตะวันออก ในยุค Energy Transition

"ไต้หวัน" หนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญ บนเส้นทางพลังงานแห่งเอเชียตะวันออก ที่ไม่เพียงเพราะบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการเดินหน้าพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง
เมื่อกล่าวถึงอนาคตด้านพลังงานของภูมิภาคเอเชียตะวันออก ชื่อของ "ไต้หวัน" มักปรากฏขึ้นอย่างโดดเด่น ไม่เพียงเพราะบทบาทสำคัญในห่วงโซ่อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก แต่ยังรวมถึงการขับเคลื่อน พลังงานสะอาด อย่างเป็นรูปธรรม โดยมีเป้าหมายสู่ Net Zero Emission หรือการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี ค.ศ. 2050 โดยผ่านการบังคับใช้กฎหมาย "Climate Change Response Act" เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2023 ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่มุ่งเน้นเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโดยเฉพาะ พร้อมกำหนด 12 กลยุทธ์หลักด้านพลังงานสะอาด ตลอดจนมาตรการด้านภาษีคาร์บอน และแรงจูงใจ เพื่อดึงการลงทุนเอกชนเข้าสู่ระบบพลังงานสะอาดและโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
ไต้หวันตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วน พลังงานหมุนเวียน เป็น 15% ภายในปี ค.ศ. 2025 และ 20% ในปี ค.ศ. 2026 โดยเน้นพลังงานแสงอาทิตย์ และพลังงานลมนอกชายฝั่ง ควบคู่กับการใช้ก๊าซธรรมชาติเพื่อรักษาเสถียรภาพของระบบไฟฟ้า อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนผ่านทางพลังงาน (Energy Transition) ยังคงเผชิญกับข้อจำกัดหลายประการ ทั้งด้านพื้นที่ติดตั้งโซลาร์ฟาร์ม ซัพพลายเชนของโครงการพลังงานลมนอกชายฝั่ง ต้นทุนการพัฒนา และความเข้มงวดของนโยบาย
การปรับปรุง Electricity Act ปี ค.ศ. 2025 ถือเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญ แม้ยังคงให้ Taipower เป็นผู้เล่นหลักในระบบไฟฟ้า แต่ได้เปิดทางให้ตลาดมีความยืดหยุ่นมากขึ้น เช่น การซื้อขายไฟฟ้าระหว่างผู้ค้าปลีก การกำหนดกรอบธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน (BESS) และการซื้อขายพลังงานหมุนเวียนโดยภาคเอกชนแบบ Corporate PPA ซึ่งเติบโตอย่างเห็นได้ชัดเพื่อตอบโจทย์อุตสาหกรรมไอทีและดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการไฟฟ้า "สีเขียวและมีเสถียรภาพ" ไปพร้อมกัน
ปัจจุบัน ไต้หวัน ได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในตลาดพลังงานลมนอกชายฝั่งที่ร้อนแรงที่สุดในภูมิภาค โดยตั้งเป้าหมายติดตั้งกำลังผลิตเกิน 10 กิกะวัตต์ ภายในปี ค.ศ. 2030 อย่างไรก็ตาม ความท้าทายยังมีอยู่มาก มีโครงการที่ถูกเพิกถอนสิทธิ รวมกว่า 900 เมกะวัตต์ และหลายพื้นที่พัฒนาใหม่ที่อยู่ในบริเวณน้ำลึกและห่างฝั่งมากขึ้น ส่งผลให้ต้นทุนสูงขึ้น นักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการลงทุน หลายฝ่ายจับตาว่าทางการจะส่งสัญญาณสนับสนุนอย่างไรต่อไป
สำหรับ EGCO Group ได้เข้าลงทุนในตลาดพลังงานลมนอกชายฝั่งของไต้หวัน ตั้งแต่ปลายปี ค.ศ. 2019 โดยเป็นบริษัทพลังงานไทยลำดับต้นๆ ที่ไปบุกตลาดพลังงานไต้หวัน ผ่านการเข้าถือหุ้น ในบริษัท ยุนเหนิง วินด์ พาวเวอร์ จำกัด ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการฯ โดย Yunlin OWF นอกจากช่วยสร้างพลังงานสีเขียวให้กับไต้หวันแล้ว ยังช่วยสนับสนุนเป้าหมายระยะสั้นของ EGCO Group ในการเพิ่มสัดส่วนการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็น 30% ภายในปี ค.ศ. 2030
โรงไฟฟ้า Yunlin OWF เป็นบทพิสูจน์แห่งความสำเร็จ ความร่วมมือ ความมุ่งมั่น และความสามารถในการฟันฝ่าความท้าทายร่วมกันของพันธมิตรผู้ถือหุ้น โดยเฉพาะสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และข้อจำกัดด้านเทคนิคในการติดตั้ง ซึ่งพื้นที่ติดตั้งกังหันลมตั้งอยู่ในบริเวณน้ำตื้น โดยมีความลึกตั้งแต่ระดับ 8 ถึง 32 เมตร พร้อมทั้งกระแสน้ำขึ้นลงรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการกัดเซาะฐานราก และจำกัดการเข้าถึงของเรือติดตั้ง นอกจากนี้ พื้นที่โครงการตั้งอยู่บริเวณช่องแคบไต้หวันที่มีสภาพคลื่นลมรุนแรง สภาพแวดล้อมดังกล่าวส่งผลให้การดำเนินงานติดตั้งอุปกรณ์กังหันลมนอกชายฝั่งมีความท้าทายเป็นอย่างมาก
ความสำเร็จจากการลงทุนใน Yunlin OWF ได้เปิดประตูสู่โอกาสการลงทุนใหม่ๆ ใน ไต้หวัน EGCO Group ได้รับการยอมรับจากไต้หวันในฐานะนักลงทุนไทยที่มีความสามารถและความมุ่งมั่น โดยบริษัทฯ มีองค์ความรู้และพันธมิตรที่เชี่ยวชาญ พร้อมเดินหน้าแสวงหาโอกาสการลงทุนในโครงการพลังงานหมุนเวียนและก๊าซธรรมชาติอย่างต่อเนื่อง โดยใช้ประสบการณ์จากโครงการ Yunlin OWF เป็นพื้นฐานในการพิจารณาและตัดสินใจ







