วันแรดโลก 22 ก.ย ตลาดมืดล่าไม่หยุด เหลือไม่ถึง 3 หมื่นตัว มายาคติสรรพคุณนอแรด

วันที่ 22 ก.ย. ของทุกปีคือ “วันแรดโลก” เพื่อสร้างความตระหนักถึงวิกฤตแรดที่ถูกล่าอย่างหนักเพื่อนำนอไปขายในตลาดมืด จากความเชื่อผิดๆ ว่ามีสรรพคุณทางยา ทั้งที่จริงเป็นเพียงสารเคอราตินเหมือนเส้นผม
KEY
POINTS
- วันที่ 22 ก.ย. ของทุกปีคือ “วันแรดโลก” เพื่อสร้างความตระหนักถึงวิกฤตแรดที่ถูกล่าอย่างหนักเพื่อนำนอไปขายในตลาดมืด จากความเชื่อผิดๆ ว่ามีสรรพคุณทางยา ทั้งที่จริงเป็นเพียงสารเคอราตินเหมือนเส้นผม
- ประชากรแรดทั่วโลกเหลืออยู่ไม่ถึง 30,000 ตัว โดย 5 สายพันธุ์ส่วนใหญ่อยู่ในภาวะใกล้สูญพันธุ์ โดยเฉพาะแรดชวาและแรดสุมาตราที่อยู่ในขั้นวิกฤตอย่างยิ่ง มีจำนวนเหลือไม่ถึง 50 ตัว
- การลักลอบล่าและค้าขายนอแรดยังคงเป็นภัยคุกคามหลัก แม้จะมีมาตรการอนุรักษ์ นอกจากนี้ การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศยังส่งผลกระทบต่อถิ่นที่อยู่อาศัยและเพิ่มความเสี่ยงต่อการอยู่รอดของแรด
วันที่ 22 กันยายนของทุกปี ถูกกำหนดให้เป็น “วันแรดโลก” (World Rhino Day) ก่อตั้งขึ้นในปี 2010 โดย World Wildlife Fund (WWF) ร่วมกับ Save the Rhino International และพันธมิตรองค์กรอนุรักษ์สัตว์ป่าอื่นๆ ทั่วโลก เพื่อปลุกกระแสการอนุรักษ์ “แรด” ที่อยู่ในภาวะวิกฤติ เพราะถูกลักลอบล่าอย่างต่อเนื่องเพื่อเอานอไปจำหน่ายในตลาดมืดทั่วโลก
โดยนอแรดที่ถูกลักลอบตัดไป จะนำไปทำเครื่องประดับและของสะสม โดยบางประเทศในเอเชีย คนบางกลุ่มเชื่อว่ามีคุณค่าและเป็นสัญลักษณ์ของสถานะทางสังคม นอกจากนี้ ในบางวัฒนธรรมยังนิยมนำนอแรดไปบดเป็นผงใช้เป็นส่วนผสมของยา โดยเชื่อว่ามีสรรพคุณรักษาโรค ทั้งๆ ที่ทางวิทยาศาสตร์ระบุว่า นอแรดมีองค์ประกอบทางเคมีหลักคือ “เคอราติน” (Keratin) คล้ายเส้นผมของมนุษย์และไม่มีคุณสมบัติทางยา
การลักลอบล่าและค้าขายนอแรดเป็นธุรกิจผิดกฎหมายที่ทำกำไรสูง ทำให้กลุ่มลักลอบล่ามีความพยายามต่อเนื่องแม้จะมีมาตรการคุ้มครองสัตว์ป่า โดยเครือข่ายการค้าผิดกฎหมายเชื่อมโยงหลายประเทศ ทำให้การควบคุมและตรวจสอบเป็นเรื่องยาก และเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้แรดบางสายพันธุ์เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์
แรด 5 สายพันธุ์บนโลก และจำนวนประชากรที่เหลือ
ปัจจุบันโลกมีแรดอยู่เพียง 5 สายพันธุ์ และเกือบทั้งหมดอยู่ในภาวะ “ใกล้สูญพันธุ์” หรือ “วิกฤติขั้นร้ายแรง” ตามการประเมินขององค์กรอนุรักษ์นานาชาติ ประกอบไปด้วย
- แรดขาว (White Rhino): ประชากรคงเหลือราว 15,752 ตัว ในทวีปแอฟริกา แม้จะเป็นสายพันธุ์ที่พบมากที่สุด แต่ก็มีแนวโน้มลดลงจากการลักลอบล่าและการสูญเสียพื้นที่หากิน
- แรดดำ (Black Rhino): เหลือประมาณ 6,788 ตัว เคยลดลงอย่างหนักในอดีต แต่โครงการอนุรักษ์ช่วยให้เริ่มฟื้นตัว แม้ยังเปราะบางต่อภัยล่า
- แรดอินเดีย หรือ Greater One-Horned Rhino: มีราว 4,075 ตัว กระจายอยู่ในอินเดียและเนปาล จัดว่าเป็นหนึ่งในความสำเร็จด้านการอนุรักษ์ที่ประชากรกลับมาเพิ่มขึ้น
- แรดชวา (Javan Rhino): มีไม่ถึง 50 ตัว และอาศัยอยู่เพียงแห่งเดียวในโลก คืออุทยานแห่งชาติอูจุงกูลอน ประเทศอินโดนีเซีย จัดเป็นสัตว์ที่เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์มากที่สุด
- แรดสุมาตรา (Sumatran Rhino): ประมาณ 34–47 ตัว เท่านั้นในธรรมชาติ อยู่ในภาวะวิกฤตขั้นร้ายแรง การขยายพันธุ์เป็นไปได้ยากเนื่องจากจำนวนประชากรต่ำเกินไป
รวมแล้วประชากรแรดทั้งโลก ณ ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 26,700 ตัว โดยสปีชีส์แรดขาว (white rhino) ลดลงเล็กน้อย จาก 16,772 ตัวในปี 2022 เหลือ 15,752 ตัว ณ สิ้นปี 2024 ส่วนแรดดำ (black rhino) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อย เป็นสัญญาณบวกที่การอนุรักษ์กำลังเริ่มเห็นผลในบางประเทศในเอเชีย สถานการณ์ของแรดจาวาและสุมาตราดูน่าเป็นห่วง จำนวนแรดจาวาลดลงอย่างมีนัยสำคัญ และแรดสุมาตราก็อยู่ในระดับวิกฤติ ขณะที่การลักลอบล่าแรดยังคงเป็นปัญหาใหญ่ เช่น ในแอฟริกาใต้ (South Africa) รายงานปี 2024 ว่ามีแรดถูกล่า ประมาณ 420 ตัว ลดลงจาก 499 ตัวในปี 2023
แรด = วิศวกรระบบนิเวศ
แรดไม่ได้เป็นเพียงสัตว์ใหญ่ที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวซาฟารี แต่ยังเป็น “วิศวกรระบบนิเวศ” (ecosystem engineer) พวกมันช่วยเปิดพื้นที่ป่า สร้างทุ่งหญ้าใหม่ และกระจายเมล็ดพันธุ์พืชที่เกาะติดกับมูล ทำให้ระบบนิเวศคงความหลากหลาย หากแรดหายไป จะกระทบทั้งพืช พรรณไม้ และสัตว์อีกนับไม่ถ้วน
การสูญเสียแรดไม่เพียงแต่ลดความหลากหลายของสิ่งมีชีวิต แต่ยังส่งผลลบต่อชุมชนมนุษย์ เช่น การลดโอกาสในด้านการท่องเที่ยวธรรมชาติ การเปลี่ยนแปลงในกิจกรรมเกษตรและน้ำต้นทุน ถิ่นที่อยู่อาศัยล้อมรอบสัตว์ป่า เป็นต้น
แม้มาตรการอนุรักษ์จะถูกดำเนินการอย่างต่อเนื่อง แต่แรดยังคงเผชิญภัยคุกคามรอบด้าน แก๊งลักลอบล่าสัตว์ยังปรับเปลี่ยนกลยุทธ์อยู่เสมอ มุ่งหาผลประโยชน์จากทั้งผู้คนและสัตว์ป่า โดยเฉพาะเมื่อเล็งเป้าไปยังประชากรแรดในนามิเบียและแอฟริกาใต้
ขณะเดียวกัน วิกฤติสภาพภูมิอากาศ โดยเฉพาะปัญหาภัยแล้ง ก็กำลังบั่นทอนถิ่นอาศัยและแหล่งน้ำ เพิ่มแรงกดดันให้กับระบบนิเวศที่เปราะบางอยู่แล้ว
อ้างอิง : World Rhino Day







