SX2025 ตอกย้ำ 'ลงมือทำ' ชูความร่วมมือระดับโลก รับมือวิกฤติรอบด้าน

SX2025 ตอกย้ำการเป็น "แพลตฟอร์มแห่งการลงมือทำ" ที่เปลี่ยนจากการพูดคุยสู่การปฏิบัติจริง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน (4P) และโมเดล B to C to B
KEY
POINTS
- SX2025 ตอกย้ำการเป็น "แพลตฟอร์มแห่งการลงมือทำ" ที่เปลี่ยนจากการพูดคุยสู่การปฏิบัติจริง โดยอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน (4P) และโมเดล B to C to B
- ชูความร่วมมือระดับนานาชาติ โดยมีองค์กรจากหลายประเทศเข้าร่วม และเป็นเจ้าภาพจัดงาน Enactus World Cup 2025 ซึ่งเป็นการแข่งขันของเยาวชนจาก 32 ประเทศ
- มุ่งหาแนวทางรับมือ "วิกฤติรอบด้าน" (Poly Crisis) ที่เชื่อมโยงกัน ทั้งปัญหาสิ่งแวดล้อม สังคมสูงวัย ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัล และเศรษฐกิจ
Sustainability Expo 2025 (SX2025) เน้นย้ำบทบาทของการเป็น “แพลตฟอร์มแห่งการลงมือทำ” ที่มุ่งเปลี่ยนจากการพูดคุยไปสู่การปฏิบัติ และสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา SX ได้พัฒนาเป็นมหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคอาเซียน จัดแสดงผลงานด้านความยั่งยืนจากหลากหลายบริษัททั้งเล็ก กลาง ใหญ่ รวมถึงบุคคลและกลุ่มคนจากหลายประเทศ
“ต้องใจ ธนะชานันท์” ผู้อำนวยการคณะจัดงาน SX2025 กล่าวว่า SX ก่อตั้งขึ้นเพื่อการปรับตัว ร่วมมือ และเติบโต แต่การปรับตัวอย่างมีประสิทธิภาพต้องอาศัย ‘ความร่วมมือ’ ที่ไม่เพียงแต่ภาครัฐและเอกชน แต่ยังรวมถึงภาคประชาชนด้วย (People-Public-Private Partnership: 4P)
SX ใช้แนวคิด B to C to B ซึ่งหมายถึง การให้องค์กรขนาดใหญ่ (B ตัวแรก) ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐที่มีความเชี่ยวชาญด้านความยั่งยืน ดึงผู้บริโภคและคนทั่วไป (C) เข้ามาตระหนักรู้และเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อในที่สุดจะดึงบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็ก (B ตัวเล็ก) หรือ Startup ให้มาร่วมขบวนการความยั่งยืนนี้ด้วยกัน
“ตลอด 5 ปีที่ผ่านมา แนวคิดนี้ได้สร้างความเปลี่ยนแปลง ซึ่งครอบคลุมไม่เฉพาะสิ่งแวดล้อม แต่ยังรวมถึงประเด็นสำคัญอื่นๆ เช่น สังคมสูงวัย และการอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างรู้เท่าทัน หัวใจสำคัญของการเติบโตในแบบฉบับของเรา คือความเข้าใจใน ‘สมดุล’ หรือ ‘ความพอเพียง’ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่จะนำไปสู่ ‘ชีวิตที่ดีขึ้น’ (better living), ‘ชุมชนที่ดีขึ้น’ (better community), และ ‘โลกที่ดีขึ้น’ (better world)”
ไฮไลต์งาน SX ปีนี้ จะมีองค์กรนานาชาติ 14 แห่ง จากหลายประเทศ เช่น ออสเตรเลีย จีน สหราชอาณาจักร และฟินแลนด์ เข้าร่วม นอกจากนี้ ยังมีไฮไลต์สำคัญคือการเป็นเจ้าภาพจัดงาน Enactus World Cup 2025 ในงาน SX2025 ซึ่งเป็นการแข่งขันที่เยาวชนระดับประถมศึกษากว่า 32 ประเทศทั่วโลก จะมานำเสนอโครงการสร้างสรรค์ที่ได้ดำเนินการไปแล้ว
สร้างความร่วมมือนานาชาติ
“อมีเลีย วอลช์” Senior Trade and Investment Commissioner จากสำนักงานการพาณิชย์และการลงทุนออสเตรเลีย (The Australian Trade and Investment Commission หรือ Austrade) กรุงเทพฯ ได้แบ่งปันตัวอย่างความร่วมมือในปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจับคู่ธุรกิจระหว่างบริษัทออสเตรเลียกับบริษัทไทย เช่น เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ที่พาสมาชิก Smart Cities Network ไปเยี่ยมชมโครงการวันแบงค็อก เพื่อศึกษาแนวคิดเมืองอัจฉริยะแบบผสมผสานที่เป็นเลิศ และกลุ่มซีพีที่นำเสนอเทคโนโลยีและประสิทธิภาพในภาคเกษตรกรรม อาทิ อุปกรณ์ที่ใช้ในการวัดอุณหภูมิและการเคลื่อนไหวของสุกร เพื่อตรวจจับโรคหรือแนวโน้มผิดปกติล่วงหน้า
“ประเทศออสเตรเลียจะขยายพื้นที่จัดแสดงและเพิ่มจำนวนบริษัทเข้าร่วมในงาน SX2025 โดยมีผู้แสดงความสนใจแล้ว 29 ราย เพิ่มขึ้นจาก 17 รายในปีที่ผ่านมา ซึ่งตอกย้ำถึงความมุ่งมั่นในการสร้างโอกาสแบบ win-win และการเชื่อมโยงเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือนี้ไม่เพียงจำกัดอยู่ในประเด็นด้านสภาพภูมิอากาศ แต่ยังขยายไปสู่ด้านสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีอีกด้วย”
สังคมสูงวัยปัญหาใหญ่ของชาติ
“ศ.นพ.หม่อมหลวง ชาครีย์ กิติยากร” รองคณบดีฝ่ายนวัตกรรมและคู่ความร่วมมือคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล รามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวถึงความสามารถในการปรับตัว (adaptability) และความร่วมมือ (collaboration) ว่าเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อสร้างความยั่งยืนที่ดีขึ้น และชี้ให้เห็นว่าสังคมสูงวัยเป็นปัญหาใหญ่สำหรับประเทศไทย เนื่องจากอัตราการเกิดลดลง ควบคู่ไปกับการเพิ่มขึ้นของโรคที่เกี่ยวข้องกับอายุ เช่น ผู้ป่วยติดเตียงและเนื้องอก
นอกจากนี้ สุขภาพของคนทั่วไปยังได้รับผลกระทบจากปัจจัยหลายประการ เช่น อาหาร (น้ำตาลและอาหารแปรรูป), การขาดการออกกำลังกาย, และมลพิษทางอากาศ PM 2.5
“คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบา รามาธิบดีมหาวิทยาลัยมหิดลจึงได้พัฒนานวัตกรรมต่างๆ เพื่อช่วยดูแลผู้สูงอายุให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ทั้งในเชิงของการดูแลผู้ป่วยเฉพาะทางและการรักษาใหม่ๆ เช่น สเต็มเซลล์ ซึ่งจะมีการจัดแสดงภายในงาน อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือการเริ่มต้นดูแลตนเองตั้งแต่เนิ่นๆ ในเรื่องอาหาร การบริโภค การออกกำลังกาย และการสร้างระบบดูแลผู้สูงอายุในระยะยาวร่วมกัน ท่านยังย้ำว่าเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญในการปรับตัว”
พลังของชุมชน Connecting the Dots
“เจรมัย พิทักษ์วงศ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานมีเดีย แอนด์ อีเวนต์ บริษัท อมรินทร์ คอร์เปอเรชั่นส์ จํากัด (มหาชน) กล่าวว่า ชุมชนเป็นนวัตกรรมที่มนุษยชาติสร้างขึ้น และปัญหาความยั่งยืนของโลกก็คือ “งานกลุ่ม” งาน SX จึงมีโซน Inspiring Showcase เพื่อรวมกลุ่มคนที่ทำสิ่งดีๆ สำเร็จแล้ว และ “Connecting the Dots” ชักชวนให้ผู้ที่สนใจร่วมลงชื่อเพื่อทำความดีร่วมกับกลุ่มคนเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นการสอนหนังสือให้เด็ก การแยกขยะ หรือการช่วยเหลือผู้ประสบภัย
นอกจากนี้ยังมี “Gathering Space” หรือลานกิจกรรมให้มาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน ตัวอย่างหนึ่งของงานกลุ่มที่นำมาพูดคุยคือ โครงการติดบัตรประชาชนให้ต้นไม้ บนถนนวิทยุ ซึ่งเป็นการติดป้ายชื่อให้ต้นไม้ทุกต้น เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องดูแลอย่างระมัดระวังยิ่งขึ้น
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ทางรอดวิกฤติ
“ชณัฐวุฒิ วิภัยการ” (ก้อง กรีน กรีน) คอนเทนต์ครีเอเตอร์และนักเล่าเรื่องสายรักษ์โลก กล่าวถึงการสร้างอิทธิพลเพื่อกระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม โดยเฉพาะในคนรุ่นใหม่ว่า การสื่อสารเรื่องขยะและเศรษฐกิจหมุนเวียนไม่ใช่เรื่องยาก เพราะแม้แต่นักเรียนประถม 1 ก็ยังสามารถเข้าใจและยกตัวอย่าง “พลาสติกใช้ครั้งเดียว” ได้ แต่ความท้าทายที่แท้จริงคือความไม่ชัดเจนของระบบการจัดการขยะ รวมถึงขยะที่มีมูลค่าน้อย เช่น พลาสติกหลายชั้นและแก้วกาแฟแบบใช้แล้วทิ้ง
“อยากให้มีการควบคุมวัสดุตั้งแต่ต้น เช่น กำหนดให้ภาชนะเครื่องดื่มทำจากวัสดุชนิดเดียวกัน เพื่อให้ระบบง่ายขึ้นและง่ายต่อการสอนพ่อแม่ นอกจากนี้ ยังเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับตัว (adaptation) ควบคู่ไปกับการลดผลกระทบ (mitigation) เนื่องจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น น้ำท่วมในจังหวัดน่าน และชี้ให้เห็นว่าการเรียนรู้เรื่องการปรับตัว เช่น การวางผังเมือง เริ่มถูกบรรจุในการศึกษาแล้ว การทำให้ระบบง่ายขึ้นและเน้นผู้ใช้งานเป็นศูนย์กลางจะช่วยให้การสื่อสารและการนำไปใช้มีประสิทธิภาพมากขึ้น”
โลกกำลังเผชิญวิกฤติรอบด้าน
“ปิยะชาติ อิศรภักดี” SX Co-Executive Director กล่าวว่า โลกและอาเซียนกำลังเผชิญกับ “วิกฤติรอบด้าน” หรือ Poly Crisis ที่พุ่งเข้ามากระทบพร้อมกันและเชื่อมโยงกันอย่างซับซ้อน SX จึงอยากชวนทุกคนมาร่วมพูดคุยถึงหนทางการปรับตัว การร่วมมือ และการเติบโต เพื่อก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ไปด้วยกัน
เพราะในมิติสิ่งแวดล้อม อุณหภูมิโลกได้ทะลุเกิน 1.5 องศาเซลเซียสแล้ว อาเซียนกำลังเผชิญคลื่นความร้อนที่รุนแรงกว่าที่เคย และเราก็ยังใช้ทรัพยากรโลกมากเกินเกือบสองเท่าของที่ธรรมชาติจะฟื้นตัวได้ เท่ากับเป็นการ “ขโมย” อนาคตจากคนรุ่นหลัง
ในด้านสังคม ความเหลื่อมล้ำยังลุกลาม เด็กจำนวนไม่น้อยยังอ่านหนังสือไม่ออก ขาดทักษะคณิตศาสตร์และการคิดเชิงวิพากษ์ที่จำเป็นต่อการอยู่รอดในอนาคต
ด้านเทคโนโลยี แม้การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตจะแพร่หลาย แต่ยังมีผู้คนกว่า 2.6 พันล้านคนที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง ขณะที่ความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลยังสูงลิ่ว และแม้ AI จะถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเปลี่ยนโลก แต่โลกก็ยังไร้กรอบจริยธรรมที่ชัดเจนในการใช้งาน
ด้านเศรษฐกิจ แม้ตัวเลข GDP จะดูเติบโต แต่ก็ต้องแลกกับหนี้สาธารณะที่พุ่งสูงเกือบ 100% ต่อ GDP กลายเป็น ‘แรงฉุด’ ที่ทำให้ไม่สามารถลงทุนเพิ่มเพื่อการพัฒนาในอนาคตได้
ผู้ที่สนใจสามารถร่วมงาน SX 2025 ระหว่างวันที่ 26 กันยายน – 5 ตุลาคม 2568 ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้โดยไม่มีค่าธรรมเนียมเข้างาน ตลอด 10 วันของงานจะได้สัมผัสประสบการณ์การเรียนรู้ แลกเปลี่ยนมุมมอง และนำแนวคิดที่เป็นรูปธรรมกลับไปปรับใช้ในบ้าน ชุมชน และธุรกิจ เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง







