ฉีดวัคซีนป้องกัน ‘โรคหนองในเทียม’ ให้ ‘โคอาลา’ ช่วยชีวิตได้กว่า 65%

“ออสเตรเลีย” อนุมัติฉีดวัคซีนป้องกัน “โรคหนองในเทียม” ให้ “โคอาลา” หลังจากคร่าชีวิตโคอาลาไปทั่วประเทศจนเกือบสูญพันธุ์
KEY
POINTS
- ออสเตรเลียอนุมัติการใช้วัคซีนป้องกันโรคหนองในเทียมในโคอาลา ซึ่งเป็นโรคระบาดร้ายแรงที่ทำให้ประชากรโคอาลาใกล้สูญพันธุ์
- วัคซีนดังกล่าวสามารถลดอัตราการเสียชีวิตของโคอาลาในป่าจากโรคนี้ได้มากกว่า 65% และยังช่วยลดโอกาสการเกิดอาการป่วยในช่วงวัยเจริญพันธุ์
- โรคหนองในเทียมเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้โคอาลาตาบอด เป็นหมัน และเสียชีวิต โดยวัคซีนนี้เป็นทางเลือกที่ดีกว่าการใช้ยาปฏิชีวนะซึ่งมีผลข้างเคียงรุนแรง
สำนักงานยาฆ่าแมลงและสัตวแพทย์แห่งออสเตรเลีย (Australian Pesticides and Veterinary Medicines Authority) อนุมัติวัคซีนป้องกันการติดเชื้อ “หนองในเทียม” ฉีดให้ “โคอาลา” หลังจากที่โรคนี้คร่าชีวิตโคอาลา จนทำให้ใกล้สูญพันธุ์ในบางพื้นที่ของออสเตรเลีย
ศ.ปีเตอร์ ทิมส์ สาขาจุลชีววิทยามหาวิทยาลัยซันไชน์โคสต์ (UniSC) ศึกษาพัฒนาวัคซีนชนิดนี้มานานกว่าทศวรรษ จนได้ผลที่น่าพึงพอใจ สามารถลดโอกาสที่โคอาลาจะมีอาการของหนองในเทียมในช่วงวัยเจริญพันธุ์ และลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคนี้ในประชากรโคอาลาในป่าได้อย่างน้อย 65%
การอนุมัติวัคซีนในครั้งนี้ จะทำให้นำวัคซีนไปใช้ในโรงพยาบาลสัตว์ป่า คลินิกสัตวแพทย์ และภาคสนาม เพื่อป้องกันโคอาลาในพื้นที่ความเสี่ยงสูงได้ทันที
“โรคหนองในเทียม” ปัญหาใหญ่ของโคอาลา
โรคหนองในเทียม เป็นหนึ่งในภัยคุกคามหลักสำหรับโคอาลา ทำให้เกิดอาการเจ็บปวดจากการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ ภาวะมีบุตรยาก ตาบอด และเสียชีวิต โดยโรคนี้แพร่กระจายในประชากรโคอาลาผ่านการสืบพันธุ์และพฤติกรรมทางสังคมที่เกี่ยวข้องกับการผสมพันธุ์ อีกทั้งลูกโคอาลายังสามารถติดเชื้อนี้จากแม่ได้อีกด้วย
จูเลียน กรอสแมร์ สัตวแพทย์อาวุโสประจำภาควิชานิเวศวิทยาสัตวแพทย์ เอนเดฟเวอร์ ได้รักษาโคอาลาหลายตัวที่ป่วยเป็นโรคนี้ พบว่าโคอาลาบางตัวจะตาบอดจากโรคตาแดง หรือผอมมากเพราะหาอาหารไม่ได้ บางครั้งการติดเชื้อกระเพาะปัสสาวะอาจทำให้ผิวหนังไหม้และก้นเป็นแผลจากปัสสาวะที่แสบร้อน
“เป็นเรื่องที่น่าตกใจมากที่เห็นโคอาลาเข้ามาในขณะที่พวกมันป่วยหนัก และบางครั้งก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้” ดร. กรอสแมร์กล่าว
ก่อนหน้าที่จะมีวัคซีน การรักษาโรคหนองในเทียมในโคอาลามีเพียงวิธีเดียวคือการให้ยาปฏิชีวนะ แต่ก็ส่งผลข้างเคียงแก่โคอาลา ทำให้ความสามารถในการย่อยใบยูคาลิปตัสซึ่งเป็นอาหารหลักของพวกมันลดลง จนอาจทำให้เสียชีวิตได้ และมักจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อซ้ำได้
วัคซีนนี้ใช้โปรตีนเยื่อหุ้มเซลล์หลัก (MOMP) ของเชื้อ Chlamydia pecorum และให้การป้องกันสามระดับ ได้แก่ ลดการติดเชื้อ ป้องกันการลุกลามของโรค และช่วยบรรเทาอาการของโรคที่มีอยู่
“วัคซีนนี้มีโดสเดียว ไม่ต้องฉีดกระตุ้น เป็นคำตอบสำหรับการลดการแพร่กระจายของโรคนี้อย่างรวดเร็วและรุนแรง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ของโคอาลาป่าที่ตายทั้งหมดในออสเตรเลีย” ทิมส์กล่าวในแถลงการณ์
โคอาลาป่าในหลายรัฐของออสเตรเลียกำลังเผชิญกับการสูญพันธุ์มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคตะวันออกเฉียงใต้ของรัฐควีนส์แลนด์และรัฐนิวเซาท์เวลส์ มีจำนวนลดลงเหลือไม่ถึง 16,000 ตัว ซึ่งอัตราการติดเชื้อภายในประชากรโคอาลามักอยู่ที่ประมาณ 50% และในบางกรณีอาจสูงถึง 70% จนโคอาลาถูกจัดให้อยู่ในกลุ่มสัตว์ใกล้สูญพันธุ์ในรัฐควีนส์แลนด์ นิวเซาท์เวลส์ และเขตปกครองออสเตรเลียนแคปิตอล เมื่อปี 2022
ตามการประเมินของรัฐบาลนิวเซาท์เวลส์ คาดว่าโคอาล่าอาจสูญพันธุ์ภายในปี 2050 ซึ่งนอกจากโรคหนองในเทียมแล้ว ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ทำให้โคอาลาสูญพันธุ์มาจากถูกรถชน ถูกสัตว์อื่นล่า และการสูญเสียถิ่นที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องอันเนื่องมาจากการพัฒนาเมือง
ในทุกปี มีโคอาลาจำนวนมากที่ตายในไฟป่าในช่วงฤดูร้อนออสเตรเลีย และในปี 2025 เจ้าหน้าที่จำเป็นต้องการุณยฆาตโคอาลาประมาณ 860 ตัวในอุทยานแห่งชาติบุดจ์บิม เพื่อให้พวกมันหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานหลังจากเกิดไฟป่า ตามรายงานของสำนักข่าว 9News
แซม ฟิลลิปส์ นักวิจัยอาวุโสของมหาวิทยาลัยเซาท์แคโรไลนา (UniSC) กล่าวว่าวัคซีนนี้แสดงให้เห็นว่าสามารถช่วยโคอาลาป่าได้มากที่สุดและยาวนานที่สุดเท่าที่เคยมีมาในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
วัคซีนนี้ทำงานโดยการฝึกระบบภูมิคุ้มกันของโคอาลาให้จดจำและต่อสู้กับแบคทีเรียหนองในเทียม ซึ่งจะสามารถลดความเสี่ยงของการติดเชื้อ รวมถึงหยุดยั้งการลุกลามของโรคได้
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสิ่งแวดล้อมของรัฐบาลกลาง เมอร์เรย์ วัตต์ กล่าวว่ารัฐบาลมีส่วนร่วมในการพัฒนาวัคซีนผ่านกองทุน Saving Koalas Fund มูลค่า 76 ล้านดอลลาร์ออสเตรเลีย หรือราว 1,600 ล้านบาท
“เรารู้ว่าโคอาลาต้องการความช่วยเหลือในการต่อสู้กับโรคต่าง ๆ เช่น โรคหนองในเทียม ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลาย ส่งผลกระทบต่อสุขภาพการเจริญพันธุ์ของพวกมัน และทำให้เกิดภาวะมีบุตรยาก” วัตต์กล่าวในแถลงการณ์
อย่างไรก็ตาม นักวิจัยยังคงเรียกร้องให้รัฐและรัฐบาลกลางให้การสนับสนุนวัคซีนนี้อย่างต่อเนื่อง โดยหวังว่าจะสามารถฉีดวัคซีนให้กับโคอาลาที่มีความเสี่ยงในรัฐควีนส์แลนด์และรัฐนิวเซาท์เวลส์ได้ภายในสิ้นปี 2026







