'ก้าวสู่สุขภาพที่ยั่งยืน' AI อัจฉริยะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม

'ก้าวสู่สุขภาพที่ยั่งยืน' AI อัจฉริยะช่วยให้ทุกคนเข้าถึงการรักษาได้อย่างเท่าเทียม

วิกฤติสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่ออุดช่องว่างที่ขาดแคลน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และความครอบคลุมในการรักษาพยาบาล ตัวอย่างที่น่าทึ่งของ AI ที่กำลังสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ ไปจนถึงการสนับสนุนการแพทย์แผนโบราณ และการลดภาระงานธุรการของแพทย์

KEY

POINTS

  • ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ และช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าถึงบริการสุขภาพที่เท่าเทียมกันทั่วโลก
  • เทคโนโลยี AI ช่วยเพิ่มความแม่นยำในการวินิจฉัยโรคต่างๆ เช่น การวิเคราะห์ภาพสแกนสมอง การตรวจจับกระดูกหัก และการค้นหาสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้าย ซึ่งมีความแม่นยำสูงกว่ามนุษย์
  • AI ช่วยลดภาระงานของบุคลากรทางการแพทย์ ทั้งในด้านงานเอกสารธุรการ และช่วยในการตัดสินใจทางการรักษา ทำให้ระบบสาธารณสุขมีประสิทธิภาพมากขึ้น
  • AI ถูกนำไปประยุกต์ใช้ในหลากหลายรูปแบบ ตั้งแต่การเป็นผู้ช่วยแพทย์ในการตัดสินใจ การประเมินความจำเป็นในการใช้รถพยาบาล ไปจนถึงการผสมผสานกับการแพทย์แผนโบราณ

วิกฤตสาธารณสุขทั่วโลกกำลังเข้าสู่จุดเปลี่ยนสำคัญ เมื่อปัญญาประดิษฐ์ (AI) ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่ออุดช่องว่างที่ขาดแคลน ทั้งบุคลากรทางการแพทย์และความครอบคลุมในการรักษาพยาบาล  ตัวอย่างที่น่าทึ่งของ AI ที่กำลังสร้างความแตกต่างอย่างมีนัยสำคัญ ตั้งแต่การวิเคราะห์ภาพถ่ายทางการแพทย์ ไปจนถึงการสนับสนุนการแพทย์แผนโบราณ และการลดภาระงานธุรการของแพทย์

ทั่วโลกมีประชากรกว่า 4,500 ล้านคนที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการสุขภาพที่จำเป็นได้ และยังเผชิญกับภาวะขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ถึง 11 ล้านคนภายในปี  2573 สถานการณ์นี้กำลังเป็นภัยคุกคามต่อเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ (UN) ที่ต้องการให้ทุกคนสามารถเข้าถึงบริการสุขภาพได้อย่างถ้วนหน้าภายในปี  2573 แต่ถึงแม้ว่าเทคโนโลยี AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็ว วงการแพทย์กลับมีการนำมาใช้ "ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย" เมื่อเทียบกับอุตสาหกรรมอื่น

อย่างไรก็ตาม รายงานของ World Economic Forum ระบุว่า "โซลูชันด้านสุขภาพดิจิทัลที่ขับเคลื่อนด้วย AI มีศักยภาพที่จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และปรับปรุงผลลัพธ์ด้านสุขภาพทั่วโลก" และนี่คือ 7 ตัวอย่างเทคโนโลยี AI ที่กำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงในวงการแพทย์ในปัจจุบัน

1. AI อ่านภาพสแกนสมองแม่นยำกว่ามนุษย์

ซอฟต์แวร์ AI ใหม่ที่ถูกพัฒนาขึ้นโดยมหาวิทยาลัยในสหราชอาณาจักร มีความแม่นยำในการวิเคราะห์ภาพสแกนสมองของผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง "มากกว่าผู้เชี่ยวชาญถึงสองเท่า" นอกจากนี้ยังสามารถระบุช่วงเวลาที่เกิดโรคได้อย่างแม่นยำ ซึ่งเป็นข้อมูลสำคัญอย่างยิ่งสำหรับแพทย์ในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่เหมาะสมและทันท่วงที

2. AI ตรวจพบกระดูกหักได้มากกว่าแพทย์

จากสถิติที่น่าตกใจพบว่า แพทย์ในแผนกฉุกเฉินอาจมองข้ามรอยกระดูกหักได้ถึง 10% การใช้ AI ในการสแกนภาพเอกซเรย์เบื้องต้นจึงช่วยลดโอกาสการวินิจฉัยผิดพลาด และลดความจำเป็นในการเอกซเรย์ที่ไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังช่วยแบ่งเบาภาระงานของช่างเทคนิคเอกซเรย์ที่ขาดแคลนอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญเน้นย้ำถึงความสำคัญของการฝึกอบรมบุคลากรให้เข้าใจขีดจำกัดของเทคโนโลยี เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากข้อมูลที่ผิดพลาด

3. AI ประเมินความจำเป็นในการใช้รถพยาบาล

การศึกษาในเมืองยอร์กเชอร์ สหราชอาณาจักร พบว่า AI สามารถทำนายได้อย่างถูกต้องถึง 80% ว่าผู้ป่วยคนใดจำเป็นต้องถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลด้วยรถพยาบาล โดย AI ได้รับการฝึกฝนจากข้อมูลของผู้ป่วย เช่น การเคลื่อนไหว ชีพจร ระดับออกซิเจนในเลือด และอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งพิสูจน์แล้วว่าไม่มีอคติในการตัดสินใจ

4. AI ตรวจจับสัญญาณเริ่มต้นของโรคร้ายกว่า 1,000 โรค

บริษัท AstraZeneca ได้พัฒนาแบบจำลอง AI ที่สามารถตรวจจับสัญญาณของโรคบางอย่างได้ตั้งแต่ก่อนที่ผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการ โดยใช้ข้อมูลทางการแพทย์จากประชากรกว่า 500,000 คนในสหราชอาณาจักร แบบจำลองนี้สามารถ "ทำนายการวินิจฉัยโรคได้อย่างแม่นยำในอีกหลายปีข้างหน้า" ครอบคลุมถึงโรคอัลไซเมอร์ โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง และโรคไต นอกจากนี้ การศึกษาในสหราชอาณาจักรอีกแห่งยังพบว่า AI สามารถตรวจจับรอยโรคในสมองที่เกิดจากโรคลมชักได้ถึง 64% ซึ่งเป็นส่วนที่นักรังสีวิทยาอาจมองข้ามไป

5. แชตบอตทางการแพทย์ ผู้ช่วยในการตัดสินใจ

ระบบ Retrieval-Augmented Generation (RAG) ซึ่งเป็นการผสมผสานโมเดลภาษาขนาดใหญ่ (LLMs) เช่น ChatGPT เข้ากับระบบการสืบค้นข้อมูล สามารถให้คำตอบที่อ้างอิงหลักฐานและเป็นประโยชน์ต่อแพทย์ถึง 58% ซึ่งสูงกว่าการใช้ LLMs เพียงอย่างเดียว นอกจากนี้ แพลตฟอร์มผู้ป่วยดิจิทัล เช่น Huma ยังช่วยลดอัตราการกลับมานอนโรงพยาบาลซ้ำได้ถึง 30% และลดเวลาที่บุคลากรทางการแพทย์ต้องใช้ในการดูแลผู้ป่วยได้ถึง 40%

6. AI ผสานกับการแพทย์แผนโบราณ

AI และการแพทย์แผนโบราณอาจดูเหมือนเป็นสิ่งที่แตกต่างกัน แต่ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าทั้งสองสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างลงตัว องค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า AI สามารถช่วยเสริมการแพทย์แผนโบราณ และยังช่วยปกป้องมรดกทางวัฒนธรรมได้ด้วย ตัวอย่างเช่น อินเดียกำลังใช้เครื่องมือ AI ในการจัดทำห้องสมุดดิจิทัลสำหรับความรู้ทางการแพทย์ดั้งเดิม ขณะที่กานาใช้ AI ในการระบุและจำแนกพืชสมุนไพร ส่วนเกาหลีใต้ใช้ AI วิเคราะห์สารประกอบในการแพทย์ดั้งเดิมเพื่อรักษาโรคเลือด

7. AI ผู้ช่วยงานธุรการของแพทย์

งานธุรการที่ใช้เวลานาน เช่น การจดบันทึกการรักษา จะถูกลดทอนลงด้วย AI Microsoft ได้เปิดตัว Dragon Copilot ที่สามารถฟังและสร้างบันทึกการปรึกษาหารือทางคลินิกได้ ขณะที่ Google ก็มีชุดโมเดล AI ที่ออกแบบมาเพื่อแบ่งเบาภาระงานธุรการโดยเฉพาะในเยอรมนี แพลตฟอร์ม Elea สามารถลดระยะเวลาการทดสอบและวินิจฉัยจากหลายสัปดาห์เหลือเพียงไม่กี่ชั่วโมง อย่างไรก็ตาม ประเด็นความเป็นส่วนตัวและความน่าเชื่อถือยังเป็นข้อกังวลที่ต้องจัดการ ควบคู่ไปกับการกำหนดกฎระเบียบที่เข้มงวดเพื่อรับรองความปลอดภัยของเครื่องมือ AI ทางการแพทย์

ทั้งหมดนี้แสดงให้เห็นว่า AI ไม่ได้เป็นเพียงแค่เทคโนโลยีแห่งอนาคต แต่กำลังเป็นส่วนสำคัญที่เข้ามาเติมเต็มและเปลี่ยนแปลงวงการสุขภาพให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างแท้จริง

ที่มา : Forum Stories