ทำเนียบ Forbes Under 30 คนเจนใหม่ เลือกความยั่งยืนเป็นโมเดลธุรกิจแห่งอนาคต

ทำเนียบ Forbes Under 30 คนเจนใหม่ เลือกความยั่งยืนเป็นโมเดลธุรกิจแห่งอนาคต

งาน Forbes Under 30 Summit Asia 2025 นำเสนอแนวคิดของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ใช้ธุรกิจเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน

KEY

POINTS

  • งาน Forbes Under 30 Summit Asia 2025 นำเสนอแนวคิดของผู้ประกอบการรุ่นใหม่ที่ใช้ธุรกิจเป็นเครื่องมือแก้ปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน
  • ผู้ประกอบการนำเสนอโมเดลธุรกิจนวัตกรรมเพื่อจัดการปัญหาขยะ เช่น การจำหน่ายอาหารใกล้หมดอายุในราคาพิเศษ การสร้างระบบ "เครดิตพลาสติก" และแอปพลิเคชันลดขยะอาหาร
  • มีการยกระดับภาคเกษตรกรรมอย่างยั่งยืนในไทยผ่านแพลตฟอร์มที่เชื่อมโยงเกษตรกรกับผู้บริโภค และใช้เทคโนโลยีเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ย
  • แนวคิดสำคัญคือการเปลี่ยนมุมมองว่าความยั่งยืนไม่ใช่แค่ "การทำดี" หรือภาระค่าใช้จ่าย แต่เป็นโอกาสทางธุรกิจที่สร้างคุณค่าและผลตอบแทนได้จริง

Forbes Under 30 Summit Asia 2025 จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ ภายใต้ธีม “Jumpstarting The Future” โดยได้รวบรวมเหล่าผู้ประกอบการรุ่นใหม่และผู้ขับเคลื่อนนวัตกรรมกว่า 350 คน ในช่วงหนึ่งทศวรรษที่ผ่านมา เพื่อเข้าร่วมการเสวนา สร้างเครือข่าย

โดยหนึ่งในหัวข้อเสวนา “Pathways To A More Sustainable Future” มีผู้ประกอบการที่ขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เข้าร่วมแบ่งปันประสบการณ์และวิสัยทัศน์ เพื่อเน้นย้ำว่า ธุรกิจอย่างยั่งยืนนั้นเป็นมากกว่าการ “ทำความดี” แต่เป็นการสร้างคุณค่าทางธุรกิจที่จับต้องได้และตอบโจทย์ความท้าทายของโลกในปัจจุบัน

ลดขยะอาหาร สร้างโอกาสใหม่

“เคธี่ ควัช” (Katie Quach) ผู้ร่วมก่อตั้ง Beyond Best Before ประเทศออสเตรเลีย (Forbes Under 30 รุ่นปี 2025) เผยว่า แรงบันดาลใจในการก่อตั้ง Beyond Best Before มาจากประสบการณ์การทำงานในอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคและการเงิน และรู้สึกตกใจกับปริมาณขยะอาหารจำนวนมหาศาลภายในบริษัท

“ในออสเตรเลียมีขยะอาหารสูงถึง 1.6 ล้านตันต่อปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง Beyond Best Before จึงร่วมกับซัพพลายเออร์ซื้อสินค้าที่ใกล้หมดอายุ เช่น อาหารสำเร็จรูปและขนมขบเคี้ยว ที่หากไม่ขายก็จะถูกทิ้งเป็นขยะในหลุมฝังกลบ”

“เคธี่” อธิบายว่า “Best Before” ที่อยู่บนแพคเกจสินค้าเป็นเพียงคำแนะนำ แต่อาหารยังคงปลอดภัยหากเก็บรักษาอย่างเหมาะสม ดังนั้น กลยุทธ์ของ Beyond Best Before คือการเปิดตัวในชุมชนที่เปิดรับแนวคิดนี้ และใช้ราคาที่ลดลงสูงสุด 70% เป็นแรงจูงใจ ซึ่งไม่เพียงช่วยรักษาสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายรายสัปดาห์ของผู้บริโภคด้วย

“ออสเตรเลียกำลังก้าวไปสู่เป้าหมายของสหประชาชาติในการลดขยะอาหารทั่วโลกลงครึ่งหนึ่งภายในปี 2030 ซึ่งออสเตรเลียได้ลงนามไว้ Beyond Best Before ทำงานร่วมกับรัฐบาลระดับต่างๆ รวมถึงรัฐบาลนิวเซาท์เวลส์ในโครงการ “Love Food, Hate Waste” และหน่วยงานวิจัยของรัฐบาลกลางเพื่อวางแผนโครงการลดขยะอาหาร แต่ความท้าทายหลักคือการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าอาหารที่ใกล้หมดอายุยังคงปลอดภัยสำหรับการบริโภค”

เปลี่ยนขยะพลาสติกเป็นเครดิต

“ภักยาศรี ภันสาลี เจน” (Bhagyashree Bhansali Jain) ผู้ก่อตั้ง The Disposal Company ประเทศอินเดีย (Forbes Under 30 รุ่นปี 2024) นำเสนอว่า แนวคิดเกี่ยวกับการรีไซเคิลพลาสติกในรูปแบบ “เครดิตพลาสติก” คล้ายกับ “เครดิตคาร์บอน” โดยแรงจูงใจที่มาจากความตระหนักถึงปัญหาขยะในอินเดีย ซึ่งเป็นประเทศฝั่ง Global South ที่มักถูกตำหนิเรื่องการปล่อย CO2 สูง

แม้ว่างานที่เกี่ยวข้องกับการปล่อยมลพิษจำนวนมากจะถูกย้ายมายังภูมิภาคนี้ อินเดียสร้างขยะกว่า 62 ล้านตันต่อปี และแม้จะมีเป้าหมายการรีไซเคิล 70% ใน 5 ปีข้างหน้า แต่ปัจจุบันยังทำได้เพียง 40% The Disposal Company จึงเข้ามาเติมเต็มช่องว่างในตลาด โดยการเชื่อมโยงแบรนด์ที่มีความตั้งใจในการจัดการขยะพลาสติกเข้ากับชุมชนผู้เก็บขยะและผู้รีไซเคิลที่เคยถูกเอารัดเอาเปรียบ

“เราปลี่ยนมุมมองของขยะให้เป็นทรัพยากร ทำให้ผู้เก็บขยะได้รับค่าแรงที่เป็นธรรม และช่วยให้โรงงานรีไซเคิลสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างยั่งยืน”

ปัจจุบัน The Disposal Company สามารถรีไซเคิลขยะพลาสติกที่ถูกทิ้งจากผู้บริโภคไปแล้วกว่า 45,000 กิโลกรัมในอินเดีย และทำงานร่วมกับแบรนด์กว่า 130 แบรนด์ในอินเดีย สิงคโปร์ และสหรัฐอเมริกา นอกจากนั้น ยังทำงานอย่างมากกับการใช้บล็อกเชนเพื่อการตรวจสอบย้อนกลับในด้าน ESG

“ภักยาศรี” มองว่าตลาดความยั่งยืนโดยรวมจะเติบโตถึง 11 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายใน 2 ปีข้างหน้า และเห็นโอกาสมหาศาลในการผสานรวมปัญญาประดิษฐ์ (AI) และบล็อกเชน (blockchain) เพื่อการจัดเก็บและติดตามข้อมูลในด้าน ESG และการดำเนินการด้านสภาพอากาศ โดยเฉพาะในเอเชียและอินเดีย

ความท้าทายที่สำคัญคือการเปลี่ยนทัศนคติของบริษัทต่างๆ ที่มักมองว่าความยั่งยืนเป็น “การเสียสละ” หรือมาจากงบประมาณ CSR บริษัท The Disposal มุ่งเน้นการเชื่อมโยงผลกระทบทางสังคมโดยรวม เข้ากับรายได้ของผู้ถือหุ้น โดยโซลูชัน ESG ต้องสมเหตุสมผลทางธุรกิจ และมีประสิทธิภาพดีกว่าห่วงโซ่อุปทานเดิมในด้านการใช้งาน

"หยุดมองความยั่งยืนจากมุมมอง ‘ทำดี’ แต่ให้มองจากมุมมองทางธุรกิจ การสร้างระบบหมุนเวียนในการดำเนินงานจะช่วยประหยัดต้นทุนและเตรียมพร้อมรับมือกับข้อกำหนดที่กำลังจะมาถึง"

ทำเนียบ Forbes Under 30 คนเจนใหม่ เลือกความยั่งยืนเป็นโมเดลธุรกิจแห่งอนาคต

เปลี่ยนอาหารเหลือเป็นรายได้

“คาร์ล่า มาร์ติเนซี” (Carla Martinesi) ผู้ก่อตั้ง Chomp ฮ่องกง (Forbes Under 30 รุ่นปี 2023) กล่าวว่า ด้วยประสบการณ์ในธุรกิจโรงแรมและอาหาร จึงมักเห็นอาหารเหลือทิ้งจำนวนมากที่ถูกบันทึกเป็น “การสูญเสีย” วิกฤติโควิด-19 ทำให้ร้านอาหารในฮ่องกงต้องปลดพนักงาน เนื่องจากต้นทุนขยะอาหารสูงกว่าเงินเดือน

Chomp จึงถือกำเนิดขึ้นในปี 2021 เพื่อเป็นแอปพลิเคชันที่ช่วยลดอาหารเหลือทิ้งจากร้านอาหารและคาเฟ่ และสร้างรายได้เพิ่มเติมให้แก่พวกเขา โดยผู้ใช้สามารถซื้ออาหารที่ขายไม่หมดในราคาลด

"คาร์ล่า" ชี้ว่าเอเชียมีขยะอาหารถึง 50% ของขยะอาหารทั่วโลก คิดเป็นมูลค่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ฮ่องกงเองก็ประสบปัญหาหลุมฝังกลบขนาดใหญ่ ซึ่ง 60% ของขยะในหลุมฝังกลบเต็มไปด้วยขยะอาหาร Chomp เริ่มต้นด้วยการร่วมมือกับร้านอาหารเครือใหญ่ในฮ่องกงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ และในใบเสร็จรับเงินดิจิทัลจะมีข้อความเล็กๆ ว่า “ขอบคุณที่ช่วยรักษ์โลกกับเรา” พร้อมระบุปริมาณอาหารที่ช่วยลดได้ ซึ่งการเน้นราคาเป็นอันดับแรกจะดึงดูดผู้บริโภคได้ดีกว่าในตลาดเช่นฮ่องกง

ยกระดับเกษตรกรรม

“สุธาสินี สุดประเสริฐ” ผู้ร่วมก่อตั้ง Happy Ground ประเทศไทย (Forbes Under 30 รุ่นปี 2022) กล่าวว่า เริ่มต้นธุรกิจ Happy Grocers ในปี 2020 ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มจัดส่งผักและผลไม้ที่ปลูกอย่างยั่งยืนในราคาที่เป็นธรรม โดยเชื่อมโยงเกษตรกรในชนบทกับผู้บริโภคในเมือง

แรงบันดาลใจมาจากการที่พบว่าเกษตรกรประสบปัญหาในการจัดจำหน่ายผลผลิตในช่วงล็อกดาวน์ และเพื่อนๆ กำลังมองหาบริการส่งของชำปลอดพลาสติก Happy Grocers จึงมุ่งสร้างความโปร่งใสในแหล่งที่มาของอาหารและราคา โดยไม่โอ้อวดว่าทุกอย่างต้องเป็นออร์แกนิก แต่ระบุชัดเจนว่าผลิตภัณฑ์ใดเป็นออร์แกนิกหรือได้มาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)

เมื่อประมาณสองปีที่แล้ว พวกเขาได้ก่อตั้ง Happy Ground โดยมุ่งเน้นที่ประสิทธิภาพการใช้ปุ๋ยเป็นพิเศษ โดยใช้เทคโนโลยีช่วยเกษตรกรเพิ่มการดูดซึมปุ๋ยของพืช และติดตามผลกระทบเพื่อใช้ในการรายงานผลของบริษัทต่างๆ

Happy Ground ยังมีเป้าหมายที่จะดึงดูดเงินทุนสีเขียว (green funds) ที่มีอยู่ทั่วโลกประมาณ 800 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งปัจจุบันมีเพียงน้อยกว่า 1% เท่านั้นที่เข้าถึงเกษตรกรรายย่อย ทั้งที่เกษตรกรกลุ่มนี้คิดเป็น 80% ของห่วงโซ่อาหารโลก

“ภายในหนึ่งปีของการมุ่งเน้นเรื่องปุ๋ย เราสามารถสร้างเครือข่ายเกษตรกรได้ถึง 17,000 ราย และทำงานร่วมกับ 5 องค์กรขนาดใหญ่ ความท้าทายคือการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภคว่าผลิตภัณฑ์ยั่งยืนจริง โดยเราแก้ปัญหานี้ด้วยการสร้างความโปร่งใส จัดกิจกรรมพาผู้บริโภค (community audit) ไปเยี่ยมชมฟาร์ม และแบ่งปันประสบการณ์ รวมถึงการสุ่มตรวจสารกำจัดศัตรูพืช และมีแนวทางการฝึกอบรมที่เข้มงวดสำหรับเกษตรกรพันธมิตรเพื่อปรับปรุงแนวทางปฏิบัติ”