'ขยะ' ที่ไม่ใช่แค่ 'ขยะ' พลาสติกภัยเงียบทางสภาพภูมิอากาศ ภารกิจเร่งด่วนที่ไทยต้องเร่งแก้ไข

'ขยะ' ที่ไม่ใช่แค่ 'ขยะ' พลาสติกภัยเงียบทางสภาพภูมิอากาศ ภารกิจเร่งด่วนที่ไทยต้องเร่งแก้ไข

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ หลายคนนึกถึงพลังงานหมุนเวียนหรือยานยนต์ไฟฟ้า แต่ภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่และเติบโตอย่างรวดเร็วกลับเป็นสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง "พลาสติก"

เมื่อพูดถึงการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศ หลายคนนึกถึงพลังงานหมุนเวียนหรือยานยนต์ไฟฟ้า แต่ภัยคุกคามที่ซ่อนอยู่และเติบโตอย่างรวดเร็วกลับเป็นสิ่งที่เราใช้ในชีวิตประจำวันอย่าง "พลาสติก"

ข้อมูลจากองค์การสหประชาชาติและห้องปฏิบัติการแห่งชาติลอว์เรนซ์เบิร์กลีย์ (Lawrence Berkeley National Laboratory) ระบุว่าในปี 2562 พลาสติกปล่อยก๊าซเรือนกระจกถึง 1.8-2.2 กิกะตัน หรือคิดเป็น 3-5% ของการปล่อยทั่วโลก ซึ่งมากกว่าภาคอุตสาหกรรมการบินเสียอีก และสถานการณ์กำลังแย่ลงกว่าเดิม เมื่อการผลิตพลาสติกคาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าภายในปี 2603 ซึ่งจะทำให้การปล่อยก๊าซฯ พุ่งทะลุ 3.3 กิกะตันกลางศตวรรษนี้ หากยังคงปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป "งบประมาณคาร์บอน" ที่โลกมีอยู่อย่างจำกัดเพื่อควบคุมอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศา จะถูกใช้ไปกับการผลิตพลาสติกจนหมดสิ้น ทำให้ความพยายามทั้งหมดในการต่อสู้กับภาวะโลกร้อนต้องล้มเหลว

วงจรชีวิตพลาสติก จากบ่อเกิดสู่ปลายทาง

พลาสติกมากกว่า 99% ผลิตจากเชื้อเพลิงฟอสซิล การผลิตจึงเกี่ยวพันโดยตรงกับอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซธรรมชาติทั่วโลก การกลั่นพลาสติกปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 184.3-213.0 ล้านตันต่อปี ซึ่งเทียบเท่ากับปริมาณการปล่อยก๊าซฯ ทั้งหมดของประเทศสเปน และนี่เป็นเพียงแค่กระบวนการผลิตก่อนที่พลาสติกจะถูกนำมาใช้งาน

เมื่อหมดประโยชน์ พลาสติกยังคงสร้างมลพิษอย่างต่อเนื่อง การกำจัดด้วยวิธีต่างๆ ล้วนก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ไม่ว่าจะเป็นการฝังกลบ การรีไซเคิล หรือการเผา ซึ่ง 12% ของขยะพลาสติกทั่วโลกถูกนำไปเผาโดยตรง ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์  และสารพิษสู่บรรยากาศ ยิ่งไปกว่านั้น การเผาพลาสติกในที่โล่งยังปล่อย "Black Carbon" ซึ่งมีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอน ถึง 5,000 เท่า

โอกาสทางนโยบายและเศรษฐกิจของไทย

สำหรับประเทศไทย พลาสติกก็เป็นปัญหาใหญ่เช่นกัน จากข้อมูลของกรมควบคุมมลพิษพบว่า ในปี 2566 ประเทศไทยมีขยะพลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว (Single-use Plastics) ถึงปีละ 3.03 ล้านตัน หรือคิดเป็น 11.25% ของปริมาณขยะทั้งหมด ถึงแม้จะมีความพยายามแก้ไขด้วย "แผนปฏิบัติการด้านการจัดการขยะพลาสติก พ.ศ. 2561-2573" ซึ่งมีเป้าหมายในการลดและเลิกใช้พลาสติกบางชนิด และนำขยะพลาสติกกลับมาใช้ประโยชน์ 100% ภายในปี 2570 แต่ในทางปฏิบัติยังคงเป็นเรื่องท้าทาย

การประชุมเพื่อจัดทำสนธิสัญญาพลาสติกโลกที่เพิ่งปิดฉากลงโดยไม่มีฉันทามติ อาจดูเหมือนเป็นความล้มเหลว แต่ก็ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ เพราะทั่วโลกได้เริ่มถกเถียงกันถึงการ "ควบคุมการผลิตพลาสติกใหม่ (Virgin Plastic Production)"โดยตรง ซึ่งแตกต่างจากเดิมที่มุ่งเน้นเพียงแค่การจัดการขยะปลายทาง การเปลี่ยนมุมมองนี้เองที่จะสร้างโอกาสมหาศาลให้กับทั้งสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจ

โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า การเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจพลาสติกที่ยั่งยืนผ่านการ ใช้ซ้ำ การรีไซเคิล และการออกแบบผลิตภัณฑ์ใหม่ สามารถลดมลพิษจากพลาสติกได้ถึง 80% ภายในปี 2583 และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน ได้ประมาณ 0.5 กิกะตันต่อปี พร้อมกับการสร้างงานใหม่ๆ หลายแสนตำแหน่ง ตั้งแต่การจัดเก็บ การคัดแยก ไปจนถึงการแปรรูป และการพัฒนานวัตกรรมวัสดุ

อนาคตที่สร้างได้ด้วยมือเรา

แม้การเจรจาในระดับโลกจะยังไม่บรรลุข้อตกลง แต่การเปลี่ยนแปลงไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉันทามติเท่านั้น หลายประเทศรวมถึงประเทศไทย ได้เริ่มดำเนินการแล้ว เช่น การรณรงค์ลดใช้ถุงพลาสติกหูหิ้ว การพัฒนาแพลตฟอร์มสั่งอาหารที่สามารถเลือกไม่รับช้อนส้อมพลาสติกได้ หรือการนำร่องระบบการใช้ภาชนะซ้ำ (Reusable Systems) ในบางพื้นที่

นโยบายเกี่ยวกับพลาสติกจึงไม่ใช่แค่เรื่องของการจัดการขยะหรือการรักษาสิ่งแวดล้อมอีกต่อไป แต่ต้องถูกผนวกรวมเข้ากับยุทธศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศและการวางแผนเศรษฐกิจในทุกระดับ เพราะไม่ว่าเราจะประสบความสำเร็จในการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดและรถยนต์ไฟฟ้าได้มากเพียงใด หากการเติบโตของการผลิตพลาสติกยังคงเป็นไปอย่างไม่หยุดยั้ง เป้าหมายการแก้ปัญหาสภาพภูมิอากาศของโลกก็อาจไม่สามารถไปถึงได้

ที่มา : World Economic ForumUniversity of Portsmouth