ปลดล็อกอนาคต 'อาหารเอเชีย' 4 ยุทธศาสตร์พลิกโฉมเกษตรกรรายย่อย สู่ระบบอาหารที่ยั่งยืน

เวทีระดับโลกชี้ ระบบอาหารเอเชียกำลังเผชิญวิกฤต จากภาวะโลกร้อน-ความเหลื่อมล้ำ แนะต้องเร่งขับเคลื่อน 4 กลยุทธ์สำคัญ ทั้งเงินทุน-ดิจิทัล-ห่วงโซ่อุปทานยั่งยืน-การปรับตัวรับมือสภาพอากาศ เพื่อเสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อยกว่า 80% ให้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนระบบอาหารแห่งอนาคต
KEY
POINTS
- ระบบอาหารเอเชียกำลังเผชิญวิกฤตจากภาวะโลกร้อนและความเหลื่อมล้ำ จึงมีการเสนอ 4 ยุทธศาสตร์หลักเพื่อพลิกโฉมและเสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อย
- ยุทธศาสตร์ทั้ง 4 มุ่งเน้นการขยายโอกาสทางการเงิน, การสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน, การใช้เทคโนโลยีดิจิทัล และการทำเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ
- เป้าหมายคือการเปลี่ยนเกษตรกรรายย่อยซึ่งมีสัดส่วนกว่า 80% ให้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนระบบอาหารแห่งอนาคตที่ยั่งยืนและครอบคลุม
เวทีระดับโลกชี้ ระบบอาหารเอเชียกำลังเผชิญวิกฤต จากภาวะโลกร้อน-ความเหลื่อมล้ำ แนะต้องเร่งขับเคลื่อน 4 กลยุทธ์สำคัญ ทั้งเงินทุน-ดิจิทัล-ห่วงโซ่อุปทานยั่งยืน-การปรับตัวรับมือสภาพอากาศ เพื่อเสริมศักยภาพเกษตรกรรายย่อยกว่า 80% ให้เป็นแกนหลักในการขับเคลื่อนระบบอาหารแห่งอนาคต
เอเชียในฐานะแหล่งผลิตอาหารสำคัญของโลก
กำลังเผชิญความท้าทายครั้งใหญ่ จากปัจจัยคุกคามหลากหลายมิติ ทั้งวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และความเหลื่อมล้ำที่ถ่างกว้างขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อ “ระบบอาหาร” ที่หล่อเลี้ยงประชากรหลายพันล้านคน และเป็นแหล่งรายได้ของประชากรเกือบครึ่งหนึ่งของทวีป
ข้อมูลจากธนาคารเพื่อการพัฒนาเอเชีย (ADB) ระบุว่า แรงงานในเอเชียถึง 40% มีงานทำในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องกับอาหาร ขณะที่ “เกษตรกรรายย่อย” ซึ่งมีพื้นที่เพาะปลูกไม่เกิน 10 เฮกตาร์ และมักจะทำงานร่วมกับสมาชิกในครอบครัว ถือเป็นกระดูกสันหลังของภาคเกษตรกรรม โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีสัดส่วนมากถึง 80%
แม้จะเป็นกำลังสำคัญ แต่เกษตรกรกลุ่มนี้กลับเข้าไม่ถึงแหล่งเงินทุน เทคโนโลยี และองค์ความรู้ที่จำเป็น ทำให้สถานะทางการเงินเปราะบางและขาดโอกาสในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
เพื่อรับมือกับความท้าทายเหล่านี้ “สมาพันธ์เศรษฐกิจโลก” (World Economic Forum - WEF) ร่วมกับ “สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้” (ASEAN) ได้ก่อตั้ง “Grow Asia” ขึ้นเมื่อ 10 ปีที่แล้ว เพื่อสร้างระบบนิเวศความร่วมมือระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรเกษตรกร โดยมุ่งสร้างโซลูชันที่ปรับขนาดได้จริงใน 5 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา อินโดนีเซีย ปาปัวนิวกินี ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม
ตลอดทศวรรษที่ผ่านมา Grow Asia ได้มอบการสนับสนุนด้านเทคโนโลยี การเงิน และการฝึกอบรมให้แก่เกษตรกรรายย่อยและวิสาหกิจชุมชนกว่า 3.7 ล้านราย ส่งผลให้รายได้ภาคเกษตรเพิ่มขึ้นกว่า 81 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ต่อปีในห่วงโซ่คุณค่าอาหาร-เกษตรที่ได้รับการคัดเลือก
ความสำเร็จนี้ เกิดจากการผนึกกำลังของพันธมิตรที่หลากหลาย รวมถึงการจัดงาน “Grow Asia Investment Forum” ซึ่งเป็นเวทีสำคัญในการระดมทุนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน โดยหนึ่งในไฮไลท์สำคัญของปีนี้คือการเปิดตัว “First Movers Coalition (FMC) for Food” ที่ COP28 ซึ่งรวบรวมบริษัทชั้นนำกว่า 50 แห่งทั่วโลก โดยมีเป้าหมายในการใช้กำลังซื้อขององค์กร เพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบอาหารที่เป็นกลางทางคาร์บอน
4 ยุทธศาสตร์สำคัญ เพื่ออนาคตอาหารที่แข็งแกร่ง
เพื่อความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วและยั่งยืน WEF ชี้ว่าทศวรรษข้างหน้าจะเป็นช่วงเวลาสำคัญในการกำหนดทิศทาง และเสนอให้ใช้แนวทาง 4 ประการเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้ระบบอาหารของเอเชีย
- ขยายโอกาสทางการเงินและตลาดสำหรับเกษตรกรรายย่อย: เกษตรกรในภูมิภาคส่วนใหญ่ยังเข้าไม่ถึงระบบการเงินที่เป็นทางการ จำเป็นต้องปลดล็อกเงินทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 2573 ผ่านการลงทุนแบบผสมผสาน (Blended Finance) และโมเดลธุรกิจที่ครอบคลุม เพื่อให้เกษตรกรเข้าถึงทรัพยากรที่จำเป็นต่อการพัฒนา
- สร้างห่วงโซ่อุปทานยั่งยืนและฟื้นฟูสุขภาพดิน: ส่งเสริม “เกษตรเชิงฟื้นฟู” (Regenerative Agriculture) เพื่อปรับปรุงสุขภาพดิน ฟื้นฟูความหลากหลายทางชีวภาพ และเพิ่มความสามารถในการกักเก็บน้ำ โครงการต่างๆ เช่น GrowRight จะช่วยให้เกษตรกรนับล้านเปลี่ยนผ่านไปสู่แนวทางปฏิบัตินี้ พร้อมกับการส่งเสริมบทบาทของสตรีในภาคการเกษตรให้เป็นผู้ขับเคลื่อนที่เท่าเทียม
- ขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่เทคโนโลยีดิจิทัล: เชื่อมต่อเกษตรกรนับล้านเข้ากับเครื่องมือที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล เช่น บริการคำปรึกษาที่ใช้ AI หรือแพลตฟอร์มบล็อกเชน เพื่อลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยวและเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงตลาด โครงการ GrowVentures จะทำหน้าที่เป็นตัวเร่งให้เกิดการลงทุนในนวัตกรรมและสตาร์ทอัพด้านเกษตรอาหารทั่วภูมิภาค
- เร่งการทำเกษตรที่ยืดหยุ่นต่อสภาพอากาศ: สนับสนุนการใช้แนวทางปฏิบัติที่ช่วยให้เกษตรกรสามารถรับมือกับสภาพอากาศสุดขั้วได้ เช่น การใช้พืชทนแล้ง ระบบการให้น้ำแบบแม่นยำ และวนเกษตร (Agroforestry) เพื่อเพิ่มผลผลิตในพื้นที่เสี่ยง และลดความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมไปพร้อมกัน
การตัดสินใจในวันนี้และลงมือทำอย่างจริงจังในอีก 10 ปีข้างหน้า จะเป็นตัวกำหนดว่าระบบอาหารของเอเชียจะกลายเป็นระบบที่เปราะบางและแตกแยก หรือจะก้าวไปสู่ระบบที่ครอบคลุม ยั่งยืน และยืดหยุ่น การเสริมพลังให้เกษตรกรรายย่อยด้วยนวัตกรรม การเงิน และการเข้าถึงตลาด จะทำให้ธุรกิจการเกษตรขนาดเล็กเหล่านี้ กลายเป็น “สถาปนิก” ผู้สร้างสรรค์อนาคตอาหารของเอเชียอย่างแท้จริง
สถานการณ์และแนวโน้มระบบอาหารในไทย
ถึงแม้ประเทศไทยจะได้ชื่อว่าเป็น “ครัวของโลก” และเป็นผู้ส่งออกอาหารรายใหญ่ แต่ระบบอาหารของไทยก็กำลังเผชิญกับปัญหาและความท้าทายหลายประการ ดังนี้:
- ความมั่นคงทางอาหาร: ข้อมูลจาก Global Food Security Index ล่าสุดในปี 2565 ระบุว่าอันดับความมั่นคงทางอาหารของไทยลดลงมาอยู่ที่ 64 จาก 113 ประเทศทั่วโลก ซึ่งสวนทางกับภาพลักษณ์ประเทศผู้ผลิตอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ปัญหานี้เกิดจากหลายปัจจัย เช่น การเข้าถึงอาหารที่ไม่เท่าเทียมกันในแต่ละภูมิภาค คุณภาพและความปลอดภัยของอาหาร รวมถึงปัญหาเรื่องการเข้าถึงแหล่งน้ำและที่ดิน
- เกษตรกรรายย่อย: ประเทศไทยมีเกษตรกรรายย่อยจำนวนมากที่ยังคงใช้แนวทางการทำเกษตรแบบดั้งเดิม ทำให้ผลผลิตต่ำและมีความเสี่ยงจากความผันผวนของตลาด การขาดแคลนแรงงานภาคเกษตร และการขาดโอกาสในการเข้าถึงเทคโนโลยีที่ทันสมัย
- ความปลอดภัยของอาหาร: ปัญหาการตกค้างของสารเคมีและยาปฏิชีวนะในผลผลิตทางการเกษตรและเนื้อสัตว์ยังคงเป็นเรื่องที่น่ากังวล โดยมีรายงานว่าผลผลิตบางส่วนมีสารตกค้างเกินมาตรฐาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อสุขภาพของผู้บริโภคและความน่าเชื่อถือของอาหารไทย
- วิกฤตสภาพภูมิอากาศ: การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศส่งผลให้เกิดภัยแล้งและน้ำท่วมบ่อยครั้งขึ้น ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อผลผลิตทางการเกษตรของไทย
แนวทางการขับเคลื่อนและพลิกโฉม
เพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว หลายหน่วยงานในไทยจึงได้ร่วมมือกันกำหนดแนวทางเพื่อพลิกโฉมระบบอาหาร โดยมีเป้าหมายหลักที่สอดคล้องกับแนวทางของ Grow Asia ดังนี้:
- มุ่งสู่เกษตรยั่งยืนและปลอดภัย: หน่วยงานภาครัฐและองค์กรภาคประชาสังคม เช่น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ได้ร่วมกันจัดเวทีและขับเคลื่อนนโยบายเพื่อส่งเสริม เกษตรเชิงฟื้นฟู การทำ เกษตรอินทรีย์ และการใช้เทคโนโลยีเพื่อลดการใช้สารเคมีและลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม: มีความพยายามที่จะนำเทคโนโลยี เช่น AI และ Big Data มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ลดความสูญเสียหลังการเก็บเกี่ยว และช่วยให้เกษตรกรสามารถเข้าถึงข้อมูลการตลาดได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริมการพัฒนา "อาหารแห่งอนาคต" เช่น โปรตีนทางเลือก ซึ่งจะช่วยเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจและสร้างความยั่งยืนในระยะยาว
- สร้างความร่วมมือ: การขับเคลื่อนที่ยั่งยืนจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นภาครัฐที่ต้องออกนโยบายที่เอื้อต่อการพัฒนา ภาคเอกชนที่เข้ามาลงทุนและนำนวัตกรรมมาใช้ รวมถึงองค์กรเกษตรกรที่ต้องร่วมกันพัฒนาศักยภาพเพื่อสร้างความเข้มแข็งจากฐานราก
จะเห็นได้ว่าแนวทางในการพัฒนาและแก้ปัญหาระบบอาหารของไทยมีความสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ 4 ประการที่บทความจาก WEF กล่าวถึง นั่นคือการให้ความสำคัญกับเกษตรกรรายย่อย การนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาใช้ และการสร้างความยั่งยืนในห่วงโซ่อุปทานอาหาร
ที่มา : World Economic Forum , Grow Asia







