SDX 2025 ชี้ไทยเจอ 'วิกฤติซ้อนวิกฤติ' เด็กเกิดน้อย–สูงวัยพุ่ง–ภัยพิบัติถี่

ประเทศไทยกำลังเผชิญ "วิกฤติซ้อนวิกฤติ" ซึ่งประกอบด้วยปัญหาโครงสร้างประชากรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ อัตราการเกิดใหม่ที่ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี สวนทางกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้วัยทำงานมีภาระดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
KEY
POINTS
- งาน SDX 2025 ชี้ว่าประเทศไทยกำลังเผชิญ "วิกฤติซ้อนวิกฤติ" ซึ่งประกอบด้วยปัญหาโครงสร้างประชากรและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
- วิกฤตประชากรเกิดจากอัตราการเกิดใหม่ที่ต่ำที่สุดในรอบ 70 ปี สวนทางกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ ทำให้วัยทำงานมีภาระดูแลผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น
- ไทยมีความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ถี่และรุนแรงขึ้น เช่น อุทกภัย ภัยแล้ง คลื่นความร้อน และการกัดเซาะชายฝั่ง ซึ่งส่งผลกระทบหนักต่อกลุ่มเปราะบาง
กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) จัดงาน Social Development Expo 2025 (SDX 2025) ภายใต้แนวคิด Demographic and Climate Crises โดยมีจุดมุ่งหมายสำคัญคือการรวมตัวของผู้เกี่ยวข้องทุกระดับ ทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหาแนวทางรับมือกับสองวิกฤตการณ์ใหญ่ สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) โดยเฉพาะในด้านความเสมอภาคทางเพศ การสร้างเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน และการรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่กำลังส่งผลกระทบต่อสังคมไทยอย่างรุนแรง
วิกฤติซ้อนวิกฤติ
“อนุกูล ปีดแก้ว” ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เน้นย้ำว่าประเทศไทยกำลังเผชิญกับสถานการณ์ "วิกฤติซ้อนวิกฤติ" ที่ประกอบด้วยปัญหาโครงสร้างประชากรที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รุนแรงขึ้น
“ความสำเร็จของการรับมือกับวิกฤตซ้อนวิกฤตินี้จะต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย การปรับเปลี่ยนทัศนคติของสังคม และการนำนวัตกรรมเทคโนโลยีมาใช้อย่างเหมาะสม เพื่อสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและเป็นธรรมสำหรับประชาชนทุกกลุ่ม”
โครงสร้างประชากรเปลี่ยนแปลง
ประเทศไทยกำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงทางประชากรศาสตร์ที่มีผลกระทบกว้างขวาง โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ประเด็นหลัก
1. การลดลงของอัตราการเกิด: สถิติที่น่าตกใจคือในปี 2567 ประเทศไทยมีเด็กเกิดใหม่เพียง 460,000 คน ซึ่งเป็นจำนวนต่ำสุดในรอบ 70 ปี เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงปี 2506-2526 ที่เคยมีเด็กเกิดมากกว่า 1 ล้านคนต่อปี และสูงสุดถึง 1.2 ล้านคนในปี 2514 ปรากฏการณ์นี้สะท้อนการเปลี่ยนแปลงทัศนคติของคนรุ่นใหม่ที่ไม่นิยมการมีบุตร ส่งผลให้เกิดการขยายตัวของตลาดสัตว์เลี้ยงที่มาทดแทนบทบาทของการมีลูก
2. ยุคสังคมผู้สูงอายุอย่างเต็มรูปแบบ: เริ่มตั้งแต่ปี 2567 เป็นต้นมา ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่ระยะ "สังคมผู้สูงอายุแบบเต็มรูปแบบ" ด้วยสัดส่วนประชากรสูงอายุที่คิดเป็น 20.69% ของจำนวนประชากรรวม ทำให้ประเทศไทยติดอันดับที่ 17 ในระดับโลกสำหรับประเทศที่มีประชากรสูงอายุมากที่สุด การประมาณการในอนาคตระบุว่า ภายในปี 2576 ประเทศไทย จะเข้าสู่ขั้นสังคมผู้สูงอายุขั้นสูงสุด ด้วยสัดส่วนประชากรสูงอายุที่จะเพิ่มขึ้นถึง 28% ของประชากรทั้งหมด
3. ภาระการดูแลที่เพิ่มขึ้นของวัยทำงาน: สถิติปัจจุบันในปี 2567 แสดงให้เห็นว่าประชากรวัยทำงาน 3 คน จำเป็นต้องแบกรับภาระการดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ทำนายการณ์ระยะยาวชี้ให้เห็นว่าภายในปี 2587 อัตราส่วนนี้จะเปลี่ยนแปลงไปในทางที่เลวร้ายกว่า กล่าวคือ คนวัยทำงานเพียง 2 คน จะต้องรับภาระดูแลผู้สูงอายุ 1 คน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากรนำมาซึ่งปัญหาหลายด้าน ได้แก่ ภาระงบประมาณของรัฐที่เพิ่มขึ้นในการดูแลผู้สูงอายุ ความท้าทายของสถาบันครอบครัวจากปรากฏการณ์ครอบครัวแหว่งกลางและผู้สูงอายุที่อยู่คนเดียว รวมถึงการเปลี่ยนแปลงรูปแบบของอาชญากรรมค้ามนุษย์ที่หันไปใช้เทคโนโลยีออนไลน์
ภัยพิบัติรุนแรงเพิ่มขึ้น
“อนุกูล” กล่าวด้วยว่า ประเทศไทยถูกจัดอันดับให้อยู่ในลำดับที่ 30 ของประเทศที่มีความเสี่ยงสูงจากภัยพิบัติ โดยเผชิญกับภัยหลัก 4 ประเภท คือ อุทกภัย ภัยแล้ง คลื่นความร้อน และการกัดเซาะชายฝั่ง
กรณีศึกษาเหตุการณ์ล่าสุด ปลายปี 2567 เกิดเหตุการณ์อุทกภัยและดินโคลนถล่มรุนแรงในจังหวัดเชียงรายและเชียงใหม่ ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในระดับความรุนแรงนี้
ภาคใต้เผชิญปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งอย่างรุนแรง โดยเฉพาะจังหวัดนครศรีธรรมราชและสงขลา ส่วนคลื่นความร้อนที่สูงขึ้นกลายเป็นภัยคุกคามชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุที่มีฐานะยากจนและอาศัยในที่พักอาศัยที่ไม่เหมาะสม
ภัยพิบัติเหล่านี้ไม่เพียงสร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สิน แต่ยังก่อให้เกิดการโยกย้ายถิ่นฐานของประชากรทั้งภายในประเทศและในภูมิภาค รวมทั้งส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อกลุ่มเปราะบางที่มีความสามารถในการรับมือจำกัด
แนวทางแก้ปัญหาประชากร
“อนุกูล” เล่าถึงภาพอนาคตที่รัฐบาลกำลังออกแบบ เพื่อให้ทุกช่วงวัยของสังคมไทยมีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าเดิม เริ่มต้นจากครอบครัวและเด็กเล็ก รัฐบาลวางนโยบายขยายศูนย์เด็กเล็กใกล้บ้าน เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ที่ต้องออกไปทำงาน
ขณะเดียวกัน กฎหมายใหม่กำลังถูกผลักดันให้ลาคลอดเพิ่มจาก 98 วันเป็น 120 วัน และเปิดโอกาสให้ คุณพ่อได้ลาหลังคลอด 15 วัน เพื่อช่วยดูแลลูกน้อยในช่วงเวลาสำคัญ
ถัดมาในด้าน แรงงานและการศึกษา ประเทศไทยยังมีเด็กมากกว่าหนึ่งล้านคนที่อยู่นอกระบบการเรียน แต่รัฐบาลกำลังผลักดันโครงการ “การศึกษาแบบยืดหยุ่น” เพื่อดึงพวกเขากลับสู่เส้นทางการเรียนรู้ ควบคู่กับการพิจารณา ขยายอายุเกษียณให้สอดคล้องกับอายุขัยที่ยืนยาวขึ้น และออกกฎหมายใหม่เพื่อ ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงอายุและคนพิการ ให้ยังคงมีบทบาทในสังคม
ในมิติของสุขภาพ กระทรวงสาธารณสุขเปิดตัวนวัตกรรม “ฝากครรภ์ดิจิทัล” ที่ช่วยให้แม่ตั้งครรภ์เข้าถึงการดูแลได้ง่ายขึ้น พร้อมสวัสดิการ “ขนส่งนมแม่” สนับสนุนการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่ไม่สะดุด และในอนาคตอันใกล้ หุ่นยนต์จะถูกนำมาใช้ในการดูแลผู้สูงอายุ เพิ่มคุณภาพชีวิตและลดภาระผู้ดูแล
ท้ายที่สุด รัฐบาลยังมี แผนแม่บทพัฒนาที่อยู่อาศัย 20 ปี ที่ออกแบบเมืองและบ้านให้เหมาะสมกับคนทุกวัย ทั้งการปรับสภาพแวดล้อมให้เป็นมิตรต่อครอบครัว และการปรับปรุงบ้านเพื่อให้ผู้สูงอายุและคนพิการใช้ชีวิตได้อย่างปลอดภัยและมีศักดิ์ศรี
ยุทธศาสตร์รับมือ Climate Change
“อนุกูล” อธิบายถึงแนวทางการเตรียมประเทศให้พร้อมรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้น โดยเริ่มจากการดูแล "กลุ่มเปราะบาง" ที่เป็นด่านหน้ารับผลกระทบ ไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ เด็ก หรือครอบครัวยากจน พม. ได้จัดตั้ง ศูนย์บริหารการดูแลกลุ่มเปราะบางจากภัยพิบัติ (สบปพ.) เพื่อให้ความช่วยเหลือเฉพาะทางแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจากภัยพิบัติ
ในด้านการวางแผนเชิงรุก ประเทศไทยได้จัดทำแผนการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับชาติ (NAP) ที่มุ่งลดความเสี่ยง สร้างความพร้อม และเพิ่มขีดความสามารถในการปรับตัวของชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ เป้าหมายไม่ใช่เพียงการรับมือเมื่อภัยมาถึง แต่คือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับสังคมตั้งแต่เนิ่น ๆ
อีกหนึ่งก้าวสำคัญคือ การบูรณาการข้อมูล โดย พม. ร่วมมือกับ ธนาคารโลก (World Bank) เชื่อมโยงฐานข้อมูลกลุ่มเปราะบางกว่า 1.2 ล้านครัวเรือน หรือราว 18–20 ล้านคน เข้ากับข้อมูลภัยพิบัติ เพื่อสร้าง แผนที่ความเสี่ยงภัยที่แม่นยำ ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างตรงจุด รวดเร็ว และครอบคลุม
ในแง่ของ นวัตกรรมการเตรียมพร้อม มีการเสนอแนวคิด “Go Bag” หรือ ถุงยังชีพฉุกเฉิน ที่บรรจุสิ่งจำเป็นเฉพาะสำหรับแต่ละกลุ่ม เช่น อาหาร ของใช้สำหรับสตรีและเด็ก เอกสารสำคัญ รวมถึงสิ่งของจำเป็นของผู้สูงอายุ เพื่อให้ทุกคนมีอาวุธพร้อมสู้ภัยเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทย ยังเดินหน้านโยบาย การจัดการขยะครบวงจร ที่ไม่เพียงลดปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังสามารถแปลงเป็น คาร์บอนเครดิต สร้างรายได้กลับคืนสู่ท้องถิ่น กลายเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือเชื่อมโยงการพัฒนาสังคมเข้ากับการรักษาสิ่งแวดล้อม
ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ







