16 กันยายน 'วันโอโซนโลก' ถ้าเกราะฟ้าแตก… อาจไม่มีใครรอด

16 กันยายน 'วันโอโซนโลก' ถ้าเกราะฟ้าแตก… อาจไม่มีใครรอด

วันที่ 16 กันยายนของทุกปีคือ "วันโอโซนโลก" เพื่อรณรงค์ให้ตระหนักถึงความสำคัญของชั้นโอโซนซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตราย

KEY

POINTS

  • วันที่ 16 กันยายนของทุกปีคือ "วันโอโซนโลก" เพื่อรณรงค์ให้ตระหนักถึงความสำคัญของชั้นโอโซนซึ่งทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตราย
  • สาเหตุหลักที่ชั้นโอโซนถูกทำลายเกิดจากการใช้สารเคมีโดยมนุษย์ โดยเฉพาะสารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ซึ่งทำให้เกิด "รูโหว่โอโซน" และเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิต
  • ความร่วมมือระดับนานาชาติผ่าน "พิธีสารมอนทรีออล" เพื่อทยอยเลิกใช้สารทำลายโอโซน ถือเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ และคาดว่าชั้นโอโซนจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับปกติได้ภายในกลางศตวรรษที่ 21

16 กันยายนของทุกปีทั่วโลกจะร่วมกันเฉลิมฉลอง “วันโอโซนโลก” (World Ozone Day) วันสำคัญนี้มีขึ้นเพื่อสร้างความตระหนักและกระตุ้นให้เกิดการดำเนินการทั่วโลกในการอนุรักษ์ชั้นโอโซน ซึ่งเป็นเกราะป้องกันอันสำคัญของโลกจากรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตราย

เกราะป้องกันโลกที่มองไม่เห็นด้วยตา

ชั้นก๊าซธรรมชาติที่อยู่สูงจากพื้นโลกประมาณ 15-30 กิโลเมตรในชั้นบรรยากาศสตราโทสเฟียร์ ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันของโลก ด้วยการดูดซับรังสีอัลตราไวโอเลต (UV) ที่เป็นอันตรายจากดวงอาทิตย์ หากปราศจากเกราะป้องกันนี้ อัตราการเกิดมะเร็งผิวหนังและต้อกระจกในมนุษย์จะเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก รวมถึงส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศทั่วโลก 

ในช่วงทศวรรษ 1980 มีการค้นพบ "รูโอโซน" ที่เกิดจากการใช้สารเคมีที่ทำลายโอโซน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ทำให้ชั้นโอโซนบางลงและเป็นอันตรายต่อทุกชีวิตบนโลก

มนุษย์ ต้นเหตุทำลายชั้นโอโซน

สาเหตุหลักของวิกฤติการณ์การทำลายชั้นโอโซนคือการที่มนุษย์สร้างและใช้สารเคมีที่ทำลายโอโซน เช่น คลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) และฮาลอน ซึ่งเคยใช้กันอย่างแพร่หลายในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ตั้งแต่สเปรย์ละอองลอยไปจนถึงอุปกรณ์ทำความเย็น เมื่อสารเหล่านี้ถูกปล่อยสู่บรรยากาศจะลอยขึ้นไปทำลายโมเลกุลโอโซนในชั้นสตราโทสเฟียร์ ทำให้ชั้นโอโซนบางลงจนเกิดเป็น "รูโอโซน" ส่งผล

กระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก เพราะเกราะนี้อ่อนแอลง ทำให้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตรวมถึงทำลายระบบนิเวศทั้งบนบกและในทะเล เช่น แพลงก์ตอนซึ่งเป็นพื้นฐานสำคัญของห่วงโซ่อาหารทางทะเล

นานาประเทศต้องร่วมมือ

เพื่อตอบสนองต่อวิกฤติการณ์นี้ นานาประเทศได้ร่วมกันจัดทำ "อนุสัญญาเวียนนา" ในปี ค.ศ. 1985 และต่อมาได้มีการลงนามใน "พิธีสารมอนทรีออล" เมื่อวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 1987 ซึ่งถือเป็นข้อตกลงสำคัญที่นำพาประเทศต่างๆ มารวมตัวกันในการต่อสู้กับการทำลายชั้นโอโซน พิธีสารนี้มีเป้าหมายที่จะทยอยยกเลิกการใช้สารที่ทำลายชั้นโอโซน เช่น สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ที่ใช้ในสเปรย์ละอองลอย ตู้เย็น และเครื่องปรับอากาศ รวมถึงสารฮาลอน

พิธีสารมอนทรีออลได้รับการรับรองจากประเทศสมาชิกสหประชาชาติทั้ง 197 ประเทศ ซึ่งช่วยชะลอและย้อนกลับการสูญเสียโอโซน โดยนักวิทยาศาสตร์คาดการณ์ว่าชั้นโอโซนจะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนปี 1980 ได้ภายในกลางศตวรรษที่ 21 หากยังคงมีความมุ่งมั่นต่อเนื่อง หลายคนยกให้พิธีสารมอนทรีออลเป็นสนธิสัญญาด้านสิ่งแวดล้อมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก

บทบาทของไทย ต่อการรักษา Ozone

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในประเทศที่ลงนามและให้สัตยาบันในพิธีสารมอนทรีออล (Montreal Protocol) ตั้งแต่วันที่ 7 กรกฎาคม ค.ศ. 1989 โดยได้กำหนดเป้าหมายและมาตรการเพื่อควบคุมและเลิกใช้สารทำลายโอโซน (Ozone Depleting Substances: ODS) อย่างจริงจัง ด้วยความร่วมมือของทุกภาคส่วน ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการควบคุมการใช้สารทำลายโอโซนตามเป้าหมายที่พิธีสารกำหนดไว้

  • ยกเลิกการใช้สาร CFCs: ประเทศไทยสามารถยุติการนำเข้าและใช้สาร CFCs ได้ตามกำหนดตั้งแต่ปี พ.ศ. 2553 ซึ่งเป็นผลจากการที่ผู้ประกอบการเปลี่ยนไปใช้สารทำความเย็นชนิดอื่น
  • ควบคุมสาร HCFCs: ประเทศไทยอยู่ระหว่างการดำเนินการเพื่อทยอยลดการใช้สาร HCFCs โดยมีเป้าหมายที่จะยกเลิกการใช้สารนี้ให้หมดไปในอนาคตอันใกล้

การดำเนินการเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าประเทศไทยมีบทบาทสำคัญในความพยายามระดับโลกเพื่อปกป้องชั้นโอโซน และความสำเร็จที่ผ่านมาเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าการทำงานร่วมกันสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่เป็นรูปธรรมเพื่อสิ่งแวดล้อมได้

การปกป้องโลกคือหน้าที่ของทุกคน

การปกป้องชั้นโอโซนไม่ใช่แค่หน้าที่ของรัฐบาลหรือองค์กรใหญ่ แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันของทุกคนในสังคม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเล็กๆ น้อยๆ ในชีวิตประจำวันสามารถสร้างความแตกต่างที่ยิ่งใหญ่เพื่ออนาคตของโลกได้ เช่น

  • เลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโอโซน: หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของสารทำลายชั้นโอโซน เช่น สารคลอโรฟลูออโรคาร์บอน (CFCs) ที่เคยใช้ในสเปรย์ละอองลอยหรือโฟมพลาสติก
  • รีไซเคิลอย่างถูกต้อง: เมื่อจะทิ้งตู้เย็น เครื่องปรับอากาศ หรืออุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เก่า ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์เหล่านั้นจะได้รับการจัดการอย่างถูกวิธี เพื่อป้องกันการปล่อยสารทำความเย็นที่เป็นอันตรายสู่บรรยากาศ
  • ประหยัดพลังงาน: การลดการใช้พลังงานช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่อาจส่งผลกระทบต่อชั้นบรรยากาศได้ เลือกใช้อุปกรณ์ประหยัดพลังงานและปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกครั้งที่ไม่ได้ใช้งาน
  • ให้ความรู้และสร้างความตระหนัก: ช่วยเผยแพร่ข้อมูลเกี่ยวกับความสำคัญของชั้นโอโซนและวิธีการปกป้องให้กับคนในครอบครัว เพื่อน และคนในชุมชน จัดกิจกรรมเล็กๆ เช่น การทำโปสเตอร์ หรือการแชร์ข้อมูลดีๆ บนโซเชียลมีเดีย
  • ปลูกต้นไม้: ต้นไม้ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และรักษาสมดุลของระบบนิเวศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการดูแลสิ่งแวดล้อมโดยรวม
  • สนับสนุนแคมเปญและนโยบาย: สนับสนุนแบรนด์ที่มีนโยบายรักษ์โลก และร่วมเป็นส่วนหนึ่งของแคมเปญต่างๆ ที่มุ่งเน้นการปกป้องสิ่งแวดล้อมและชั้นโอโซน

การกระทำเล็กๆ ของเราทุกคนสามารถส่งผลกระทบที่ยิ่งใหญ่ได้เมื่อทำร่วมกัน

พลังที่แท้จริงของการเปลี่ยนแปลงไม่ได้มาจากคนเพียงไม่กี่คน แต่มาจากความร่วมมือของคนนับล้าน การร่วมกันปกป้องชั้นโอโซนเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนว่าเมื่อมนุษย์ทุกคนตระหนักถึงหน้าที่ของตัวเองและลงมือทำในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ อย่างพร้อมเพรียงกัน ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม การรีไซเคิลอย่างถูกวิธี หรือแม้แต่การแบ่งปันความรู้ให้คนรอบข้าง 

หน้าที่ของเราในฐานะมนุษย์ จึงไม่ใช่แค่การรับรู้ปัญหา แต่คือการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไข เราทุกคนคือผู้พิทักษ์โลกใบนี้ และการกระทำแต่ละอย่างของเราในวันนี้ คือการสร้างอนาคตที่ดีขึ้นสำหรับทุกชีวิตบนโลก ไม่ว่าจะเป็นคนรุ่นต่อไป หรือสิ่งมีชีวิตอื่นๆ ที่อาศัยอยู่ร่วมกับเรา

 

 

ผู้เขียน: ศุภชัย วงษ์โนนงิ้ว นักศึกษาฝึกงาน กรุงเทพธุรกิจ