X-risks โลกที่เปราะบางกว่าเดิม | คิดอนาคต

ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานี้ เราต่างสัมผัสได้ถึงความเปราะบางของโลกและชีวิตอย่างใกล้ชิดขึ้น นับจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่พลิกชีวิตและเศรษฐกิจโลกในข้ามคืน
เหตุการณ์ไฟป่า น้ำท่วม และคลื่นความร้อนที่รุนแรงขึ้นทุกปี หรือแม้แต่ข่าวการทดลองอาวุธนิวเคลียร์และการพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ที่ฉลาดขึ้นเรื่อยๆ เรื่องเหล่านี้เคยดูเป็นเรื่องไกลตัว แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่อีกต่อไป เพราะเป็นสิ่งที่กระทบวิถีชีวิตประจำวันอย่างแท้จริง ตั้งแต่ราคาสินค้าในตลาดไปจนถึงความรู้สึกมั่นคงในอนาคตของตนเองและลูกหลาน
สิ่งเหล่านี้เป็นภาพสะท้อนของ “ความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ของมนุษย์” (Existential Risks) หรือเรียกย่อว่า “”X-risks ซึ่งเตือนให้นึกถึงคำถามว่า มนุษย์จะยังมีโอกาสดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไปในอนาคตอยู่หรือไม่ หรือจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์ที่สูญพันธุ์ไปเหมือนกันสิ่งมีชีวิตจำนวนมากมายมหาศาลที่เคยดำรงชีวิตอยู่บนโลกใบนี้
เราสามารถแยกแยะความเสี่ยงมหันตภัยระดับโลก (Global Catastrophic Risks หรือ GCRs) ออกจาก ความเสี่ยงต่อการดำรงอยู่ (X-risks) ได้ เช่น เหตุการณ์อย่างกาฬโรคหรือไข้หวัดใหญ่สเปน แม้ร้ายแรงและคร่าชีวิตผู้คนนับล้าน แต่โลกยังฟื้นตัวได้ จึงถือเป็น GCR
ขณะที่ X-risks เลวร้ายกว่า เพราะหมายถึงการสูญเสียศักยภาพของมนุษย์อย่างถาวร ไม่ว่าจะเป็นการสูญพันธุ์ การล่มสลายที่ไม่อาจกู้คืน หรือการติดอยู่ในดิสโทเปียแบบไร้ทางออก
ในอดีต ภัย X-risks มักมาจากธรรมชาติ เช่น ดาวเคราะห์น้อยพุ่งชน หรือการระเบิดของภูเขาไฟขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบัน ความเสี่ยงที่มนุษย์สร้างขึ้นกลับกลายเป็นตัวแปรหลัก ตั้งแต่สงครามนิวเคลียร์ โรคระบาดจากเทคโนโลยีชีวภาพ ไปจนถึงการพัฒนาเอไอที่ไร้การควบคุม
ส่วนภัยจากธรรมชาติ แม้โอกาสเกิดต่ำ แต่ยังน่าจับตา ดาวเคราะห์น้อยขนาดใหญ่สามารถก่อการสูญพันธุ์เหมือนไดโนเสาร์ ส่วนการปะทุของซูเปอร์ภูเขาไฟ แม้เกิดไม่บ่อย แต่หากระเบิดขึ้นจริงก็อาจทำให้โลกเข้าสู่ “ฤดูหนาวภูเขาไฟ” ที่ยาวนานและทำลายการเกษตรทั่วโลกได้
ที่น่ากังวลกว่าภัยธรรมชาติ คือ ภัยจากน้ำมือมนุษย์ โดยเฉพาะปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป (AGI) ที่ถูกมองว่าอันตรายที่สุด ปัญหาหลักคือ ความสอดคล้อง (Alignment Problem) หากเอไอที่ฉลาดกว่ามนุษย์แต่ไม่ยึดถือค่านิยมเดียวกับมนุษย์ เอไออาจมุ่งบรรลุเป้าหมายของตัวเองด้วยวิธีที่คุกคาม เช่น แย่งทรัพยากร หรือป้องกันไม่ให้ถูกปิดระบบ
ในเวลาเดียวกัน เทคโนโลยีชีวภาพก็ทำให้การสร้างหรือดัดแปลงเชื้อโรคง่ายและถูกลงอย่างน่าตกใจ โรคระบาดที่มนุษย์สร้างอาจรวมคุณสมบัติเลวร้ายที่สุด คือ แพร่เชื้อได้สูง คร่าชีวิตได้มาก และมีระยะฟักตัวยาวจนแทบควบคุมไม่ได้ และอาจไม่ได้เกิดจากความผิดพลาดในห้องแล็บเท่านั้น แต่อาจมาจากการใช้เป็นอาวุธโดยเจตนา
ส่วนสงครามนิวเคลียร์ โลกห่างจากหายนะเพียงการตัดสินใจผิดพลาดเพียงครั้งเดียว การปะทะระหว่างมหาอำนาจอาจจุดชนวนฤดูหนาวนิวเคลียร์ที่ทำลายการเกษตรทั่วโลก และนำไปสู่ความอดอยากในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงสิ่งที่นักวิชาการเรียกว่าสมมติฐานโลกเปราะบาง (Vulnerable World Hypothesis) หรือ โลกสมัยใหม่เปราะบางต่อการล่มสลายของอารยธรรมอย่างถาวร เพราะความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีเปิดโอกาสให้มนุษย์ หรือคนเพียงไม่กี่คนสามารถเข้าถึงพลังทำลายล้างที่ใหญ่เกินกว่าที่สังคมจะควบคุมได้
นักปรัชญาคนหนึ่งจากออกซฟอร์ดเตือนว่าศตวรรษนี้เป็น ปากเหวแห่งอนาคต ที่มนุษย์เผชิญความเสี่ยงต่อการสูญสิ้นสูงถึง 1 ใน 6 ส่วน นาฬิกาโลกาวินาศ (Doomsday Clock) ถูกตั้งใกล้เที่ยงคืนที่สุดในประวัติศาสตร์ หรือ 89 วินาทีก่อนเที่ยงคืน เพื่อชี้ว่ามนุษย์กำลังอยู่ในยุคที่เปราะบางอย่างยิ่ง แล้วเราจะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้โลกไถลลงจากปากเหว?
ระดับประเทศ รัฐบาลต้องกล้าลงทุนในสิ่งที่อาจไม่เป็นข่าวใหญ่วันนี้ แต่คือ หลักประกันอนาคต เช่น จัดตั้งหน่วยงานเฉพาะเพื่อติดตามและรับมือ X-risks กำหนดมาตรการกำกับดูแลเอไอและเทคโนโลยีชีวภาพตั้งแต่ต้นทาง เสริมโครงสร้างพื้นฐานสำรองด้านไฟฟ้า อินเทอร์เน็ต อาหาร และเมล็ดพันธุ์ ตลอดจนยกระดับการศึกษาเพื่อสร้างประชาชนที่รู้เท่าทันความเสี่ยง มาตรการเหล่านี้อาจไม่หวือหวา แต่เป็นเกราะป้องกันที่ขาดไม่ได้
ระดับองค์กร ต้องยกระดับการจัดการความเสี่ยงให้เป็นหัวใจของยุทธศาสตร์ ตั้งตำแหน่งผู้นำที่มองอนาคตระยะยาว จัดทำแผนรับมือทั้งระยะสั้น กลาง และยาว ใช้หลักปลอดภัยโดยการออกแบบ (safety by design) กับทุกนวัตกรรมใหม่ และซ้อมสถานการณ์วิกฤตอย่างสม่ำเสมอ
ระดับบุคคล แม้จะไม่อาจเปลี่ยนทิศทางโลก แต่สามารถเสริมความยืดหยุ่นในชีวิตและชุมชนได้ เช่น มีแผนฉุกเฉินในครอบครัว สำรองอาหารและน้ำพื้นฐาน เรียนรู้ปฐมพยาบาล และสร้างเครือข่ายความไว้ใจกับเพื่อนบ้าน สิ่งเล็ก ๆ เหล่านี้คือพลังหนุนให้สังคมไม่เปราะบางจนเกินไป
นักวิทยาศาสตร์เตือนว่า วันนี้เราได้เริ่มเข้าสู่การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ครั้งที่ 6 แล้ว เมื่อความหลากหลายทางชีวภาพลดลงอย่างไม่เคยมีมาก่อน และสิ่งมีชีวิตนับล้านสายพันธุ์เผชิญความเสี่ยงจะหายไปตลอดกาล
หากมนุษย์ไม่เปลี่ยนทิศทางเสียแต่ตอนนี้ เราอาจไม่ได้เป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ แต่จะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไปของการสูญพันธุ์ครั้งนี้ด้วย







