สถิติล่าสุด พื้นที่ป่าไม้ไทย หดกว่า 3 หมื่นไร่ แนวโน้ม 10 ปียังเสียมากกว่าได้

สถิติล่าสุด พื้นที่ป่าไม้ไทย หดกว่า 3 หมื่นไร่ แนวโน้ม 10 ปียังเสียมากกว่าได้

ในปี 2567 พื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงจากปีก่อนหน้ากว่า 32,884 ไร่ ทำให้ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่าไม้คิดเป็น 31.46% ของพื้นที่ประเทศ ภาพรวมในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) พื้นที่ป่าไม้ของไทยมีแนวโน้มสูญเสียมากกว่าฟื้นคืน

KEY

POINTS

  • ในปี 2567 พื้นที่ป่าไม้ของไทยลดลงจากปีก่อนหน้ากว่า 32,884 ไร่ ทำให้ปัจจุบันเหลือพื้นที่ป่าไม้คิดเป็น 31.46% ของพื้นที่ประเทศ
  • ภาพรวมในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) พื้นที่ป่าไม้ของไทยมีแนวโน้มสูญเสียมากกว่าฟื้นคืน โดยมีพื้นที่ป่าหายไปสะสมกว่า 8 แสนไร่ เทียบกับพื้นที่ที่เพิ่มขึ้นเพียง 3 แสนกว่าไร่
  • ภาคเหนือเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่ป่าไม้ลดลงมากที่สุดในปี 2567 (เกือบ 3 หมื่นไร่) ขณะที่ภาคกลางและภาคตะวันออกเป็นเพียงสองภูมิภาคที่มีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น

แม้ประเทศไทยยังคงมีพื้นที่ป่าไม้อยู่ราว 101,785,271.58 ไร่ หรือคิดเป็น 31.46% ของพื้นที่ประเทศ แต่ตัวเลขดังกล่าวก็สะท้อนถึงความเปราะบางของทรัพยากรธรรมชาติ เมื่อพื้นที่ป่ายังคงลดลงอย่างต่อเนื่องทุกปี ทั้งจากแรงกดดันของมนุษย์และภัยธรรมชาติ

โดยในปี 2567 พื้นที่ป่าหดหายไปอีกกว่า 32,884 ไร่ จากปีก่อนหน้า ซึ่งแม้ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา (2558–2567) จะมีบางช่วงที่พื้นที่ป่ากลับมาเพิ่มขึ้นบ้าง แต่ภาพรวมยังคงแสดงถึงการสูญเสียมากกว่าการฟื้นคืน การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ไม่เพียงสะท้อนถึงความท้าทายด้านการอนุรักษ์ แต่ยังบ่งบอกถึงโจทย์ใหญ่ของการพัฒนาอย่างยั่งยืน ที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วนเพื่อปกป้องผืนป่าให้คงอยู่ต่อไป

สถิติล่าสุด พื้นที่ป่าไม้ไทย หดกว่า 3 หมื่นไร่ แนวโน้ม 10 ปียังเสียมากกว่าได้

แนวโน้ม 10 ปี ตัวเลขชี้ชัด “ป่าหายมากกว่าฟื้น”

หากพิจารณาย้อนหลังในรอบ 10 ปี (พ.ศ. 2558–2567) ตัวเลขพื้นที่ป่าไม้ของไทยแสดงให้เห็นการเปลี่ยนแปลงที่แกว่งตัวขึ้นลงเป็นบางช่วง แต่ภาพรวมยังคงเป็นการ สูญเสียมากกว่าการฟื้นคืน

สถิติพื้นที่ป่าไม้รอบ 10 ปี (2558–2567)

  • 2558 : 31.60%
  • 2559 : 31.58%
  • 2560 : 31.58%
  • 2561 : 31.68%
  • 2562 : 31.68%
  • 2563 : 31.64%
  • 2564 : 31.59%
  • 2565 : 31.57%
  • 2566 : 31.47%
  • 2567 : 31.46%

เมื่อนำตัวเลขมาคำนวณ พบว่าในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมีพื้นที่ป่าไม้ เพิ่มขึ้นสะสมเพียง 331,951.68 ไร่ แต่กลับ หายไปมากถึง 832,080.72 ไร่ แสดงถึงความเสี่ยงที่ทรัพยากรป่าไม้ยังคงถูกบั่นทอนอย่างต่อเนื่อง

สถานการณ์ป่าไม้ปี 2567 ภาคเหนือครองแชมป์

เมื่อจำแนกรายภูมิภาค ปี 2567 พบว่า ภาคเหนือ มีพื้นที่ป่ามากที่สุดกว่า 37.94 ล้านไร่ คิดเป็น 63.19% ของพื้นที่ภูมิภาค แต่ก็ลดลงเกือบ 29,883 ไร่ จากปีก่อน ขณะที่ ภาคกลาง และ ภาคตะวันออก เป็นภูมิภาคที่สวนกระแส โดยมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้นเล็กน้อย

พื้นที่ป่าไม้ประเทศไทย ปี 2567 (จำแนกรายภูมิภาค)

  • ภาคเหนือ : 37,946,635.46 ไร่ (63.19% ของพื้นที่ภูมิภาค) ลดลง -29,883.91 ไร่
  • ภาคตะวันตก : 20,021,357.66 ไร่ (58.82%) ลดลง -12,448.71 ไร่
  • ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ : 15,607,397.46 ไร่ (14.89%) ลดลง -732.61 ไร่
  • ภาคกลาง : 12,274,498.17 ไร่ (21.57%) เพิ่มขึ้น +11,032.01 ไร่
  • ภาคใต้ : 11,227,655.72 ไร่ (24.33%) ลดลง -5,224.55 ไร่
  • ภาคตะวันออก : 4,707,727.11 ไร่ (21.84%) เพิ่มขึ้น +4,373.59 ไร่

โดยพบว่ามี สองจังหวัดที่ไม่พบพื้นที่ป่าไม้เหลืออยู่เลย คือ นนทบุรี และปทุมธานี สะท้อนถึงแรงกดดันด้านการขยายตัวของเมืองและการใช้ประโยชน์ที่ดิน

จังหวัดที่ป่าเพิ่มขึ้น “สัญญาณบวก” ที่ยังไม่อาจวางใจ

แม้ภาพรวมทั้งประเทศจะลดลง แต่หลายจังหวัดกลับมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น อาทิ น่าน พะเยา แพร่ เพชรบูรณ์ อุทัยธานี ลพบุรี ฉะเชิงเทรา สระแก้ว ระยอง สุพรรณบุรี รวมถึงจังหวัดในภาคอีสาน เช่น ชัยภูมิ ขอนแก่น บุรีรัมย์ และสุรินทร์ ถือเป็นแนวโน้มที่น่าชื่นชม ซึ่งสะท้อนถึงผลของนโยบายฟื้นฟูป่า การปลูกป่าเศรษฐกิจ และการอนุรักษ์โดยชุมชน

โดยมีปัจจัยการเปลี่ยนแปลง

  • การเพิ่มขึ้นของพื้นที่ป่า เกิดจาก
  • การฟื้นตัวตามธรรมชาติ
  • การปลูกป่าเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
  • การปลูกป่าเพื่ออนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
  • การลดลงของพื้นที่ป่า มาจาก
  • การบุกรุกเปลี่ยนการใช้ประโยชน์ที่ดิน
  • ปัญหาไฟป่าในหลายพื้นที่
  • โครงการพัฒนาของรัฐและเอกชนที่มีการใช้พื้นที่ป่า

โจทย์ใหญ่: “ปกป้องผืนป่า” สู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน

นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมชี้ว่า แม้บางจังหวัดจะมีพื้นที่ป่าเพิ่มขึ้น แต่ก็ไม่อาจชะล่าใจได้ เนื่องจากแรงกดดันจากเศรษฐกิจ การขยายตัวของเมือง และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ยังคงคุกคามทรัพยากรป่าไม้ในหลายมิติ

การอนุรักษ์ผืนป่าของไทยจึงไม่ใช่เพียงหน้าที่ของกรมป่าไม้หรือภาครัฐเท่านั้น แต่ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกภาคส่วน ตั้งแต่เอกชน ชุมชนท้องถิ่น ไปจนถึงประชาชนทั่วไป เพื่อรักษา “ปอดของประเทศ” ให้คงอยู่ต่อไป และเป็นรากฐานสำคัญของการพัฒนาอย่างยั่งยืน