ยิ่งร้อนยิ่งกินน้ำตาล ปัญหาสุขภาพจากภาวะโลกร้อนที่คาดไม่ถึง

ยิ่งร้อนยิ่งกินน้ำตาล ปัญหาสุขภาพจากภาวะโลกร้อนที่คาดไม่ถึง

ยิ่งร้อนยิ่งกินน้ำหวาน โลกร้อนกระตุ้นอยากกินน้ำตาล โดยเฉพาะกลุ่มคนรายได้น้อย เสี่ยงเป็นโรคอ้วน เบาหวาน โรคหัวใจ ยิ่งทำให้ช่องว่างปัญหาสุขภาพห่างขึ้น

KEY

POINTS

  • อากาศที่ร้อนขึ้นทำให้ร่างกายสูญเสียน้ำและต้องการพลังงานทดแทนอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีความอยากบริโภคน้ำตาลมากขึ้น โดยเฉพาะจากเครื่องดื่มรสหวาน
  • ชุมชนที่มีรายได้น้อยหรือมีการศึกษาน้อยบริโภคน้ำตามเพิ่มขึ้นมากที่สุด
  • หากยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกร้อนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ภายในปี 2095 ประชาชนจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นเกือบ 3 กรัมต่อคนต่อวัน

ชา กาแฟแบบหวาน 100% น้ำอัดลมเย็นชื่นใจ เครื่องดื่มบำรุงกำลังเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า กลายเป็นเครื่องดื่มฮอตฮิตของเมืองร้อนอย่างประเทศไทย โดยเฉพาะวันที่แดดแรงแก้วเดียวก็อาจจะเอาไม่อยู่ เพราะเมื่ออากาศร้อนขึ้น ร่างกายจะปรับอุณหภูมิเพื่อระบายความร้อน เหงื่อออกมากขึ้น ร่างกายสูญเสียน้ำ สูญเสียน้ำ และสมองจะมองหาอาหารที่ช่วยบรรเทาอาการอย่างรวดเร็ว ซึ่งมักจะเป็น “น้ำตาล” นั่นแปลว่า ยิ่งอากาศร้อนขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งอยากกินน้ำตาลมากเท่านั้น

ขณะเดียวกัน ความร้อนยังลดความอยากอาหารอีกด้วย ดังนั้นการเติมน้ำตาลระหว่างวันด้วยเครื่องดื่มแก้วโปรดหรือขนมหวาน จึงเป็นทางออกที่ดีกว่ากินอาหารมื้อใหญ่

งานวิจัยใหม่จากคณะธรณีวิทยาและวิทยาศาสตร์สิ่งแวดล้อม มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ ที่ศึกษาสิ่งที่ครัวเรือนในสหรัฐหลายล้านครัวเรือนซื้อในร้านขายของชำตั้งแต่ปี 2004-2019 พร้อมตั้งคำถามง่าย ๆ ว่า เมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น ผู้คนจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นหรือไม่?

คำตอบ คือ ใช่ โดยชุมชนที่มีรายได้น้อยหรือมีการศึกษาน้อยบริโภคน้ำตามเพิ่มขึ้นมากที่สุด ทั้งหมดมาจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่ทำให้อุณหภูมิสูงขึ้นนำพาให้ความร้อนเปลี่ยนแปลงความอยากอาหารและพฤติกรรมการบริโภค ซึ่งอาจทำให้ช่องว่างด้านสุขภาพขยายกว้างกว่าเดิม

ทุก ๆ 1 องศาที่เพิ่มขึ้น มนุษย์จะกินน้ำตามเพิ่มขึ้นประมาณ 0.7 กรัมต่อคนต่อวัน โดยจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดจากประมาณ 20 องศาเซลเซียส ไปเป็น 30 องศาเซลเซียส

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์นี้มุ่งเน้นไปที่การซื้อสินค้ามากกว่าการสั่งอาหารจากร้านอาหาร ดังนั้นจึงน่าจะนับรวมสินค้าบางรายการที่บริโภคนอกบ้านน้อยกว่าความเป็นจริง แต่ถึงอย่างนั้นก็มีสัญญาณชัดเจนในช่วงเดือนที่อากาศอบอุ่นในหลายภูมิภาค

ทั้งนี้ การตอบสนองของอุณหภูมิไม่ได้เป็นเส้นตรงในทุกสภาวะสุดขั้ว การเพิ่มขึ้นจะรุนแรงที่สุดในช่วงอุณหภูมิปานกลางถึงร้อน ในขณะที่วันที่อากาศร้อนจัดกลับมีการปรับลดลง เนื่องจากความร้อนจัดสามารถยับยั้งความอยากอาหาร โดยน้ำตาลส่วนเกินส่วนใหญ่มาจากน้ำอัดลมและน้ำผลไม้ ขณะที่ของหวานแช่แข็งมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นน้อยกว่า

ผลกระทบนี้รุนแรงที่สุดในครัวเรือนที่มีรายได้ต่ำหรือมีการศึกษาต่ำ แสดงให้เห็นว่าปัจจัยทางเศรษฐกิจและสังคมมีอิทธิพลต่อทั้งการสัมผัสความร้อนรวมถึงการเลือกบริโภค ขณะที่กลุ่มที่มีรายได้สูงกว่ามีการบริโภคน้ำตาลเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ซึ่งน่าจะสะท้อนถึงการเข้าถึงเครื่องปรับอากาศ น้ำที่สะอาดกว่า และกิจวัตรประจำวันที่มั่นคงกว่า

รูปแบบการเปลี่ยนแปลงแตกต่างกันไปตามสภาพภูมิอากาศและสภาพแวดล้อมการทำงาน ผู้คนในภูมิภาคพื้นฐานที่อากาศเย็นกว่าและครัวเรือนที่มีคนงานกลางแจ้งตอบสนองต่อสภาพอากาศที่ร้อนกว่าได้ดีกว่า

“สิ่งที่ทำให้เราประหลาดใจมากที่สุดคือ การบริโภคน้ำตาลที่เพิ่มขึ้นมากที่สุดไม่ได้เกิดขึ้นในช่วงที่อากาศร้อนจัด แต่เกิดขึ้นในช่วงอุณหภูมิที่ค่อนข้างอบอุ่น ระหว่าง 12-30 องศาเซลเซียส สิ่งนี้ชี้ให้เห็นว่าแม้อุณหภูมิจะอยู่ในระดับปานกลางก็สามารถส่งผลต่อพฤติกรรมการบริโภคได้อย่างมีนัยสำคัญ นำไปสู่การบริโภคเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลและของหวานเพิ่มขึ้น” แพน ฮี ผู้เขียนงานวิจัยอธิบาย

การบริโภคน้ำตาลมากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น มีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 และโรคหัวใจ โดยผู้ใหญ่ชาวอเมริกันโดยเฉลี่ยยังคงบริโภคน้ำตาลประมาณ 17 ช้อนชาต่อวัน ซึ่งสูงกว่าความต้องการในแต่ละวันไปมาก ดังนั้นในอนาคตที่โลกจะร้อนยิ่งขึ้น ยิ่งสร้างความกังวลมากขึ้นสำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงอยู่แล้ว

สมาคมโรคหัวใจแห่งสหรัฐอ (AHA) แนะนำให้จำกัดปริมาณน้ำตาลที่เติมไว้ประมาณ 6% ของปริมาณแคลอรีต่อวัน ซึ่งคิดเป็นประมาณ 36 กรัมต่อวันสำหรับผู้ชาย และ 25 กรัมสำหรับผู้หญิง

ดร.โรเบิร์ต ลัสติก ศาสตราจารย์ด้านต่อมไร้ท่อ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย ซานฟรานซิสโก ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารเวชศาสตร์และโรคอ้วน ซึ่งไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการศึกษานี้ กล่าวว่า สำหรับชาวอเมริกันที่ยากจนแล้ว การกินน้ำอัดลมที่มีน้ำตาลเพียงกระป๋องเดียวต่อวัน ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเบาหวานขึ้น 29% และภาวะกระหายน้ำหวานที่เกี่ยวข้องกับอุณหภูมิมีบทบาทสำคัญในการระบาดของโรคอ้วนในสหรัฐ

นักวิจัยประเมินว่า หากยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจก จนทำให้โลกร้อนเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ ภายในปี 2095 ประชาชนจะบริโภคน้ำตาลเพิ่มขึ้นเกือบ 3 กรัมต่อคนต่อวัน โดยเพิ่มขึ้นสูงสุดตามฤดูกาลในฤดูร้อนและฤดูใบไม้ร่วง

ดูโอ ชาน นักวิทยาศาสตร์ด้านภูมิอากาศจากมหาวิทยาลัยเซาแทมป์ตัน ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยกล่าวว่า “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังกำหนดสิ่งที่คุณกินและวิธีการกินของคุณ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพของคุณ ผู้คนมักจะดื่มเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลมากขึ้นเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้ชัดว่าภายใต้สภาพอากาศที่ร้อนขึ้น จะทำให้คุณดื่มหรือบริโภคน้ำตาลมากขึ้น และนั่นจะเป็นปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพ”

ภาระด้านสุขภาพไม่ได้ลดลงอย่างเท่าเทียมกัน ชุมชนที่มีทรัพยากรน้อยกว่ากำลังเผชิญกับอัตราการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับอาหารที่สูงขึ้นอยู่แล้ว ดังนั้นการเพิ่มขึ้นของน้ำตาลที่สัมพันธ์กับอุณหภูมิจึงอาจขยายช่องว่างให้กว้างขึ้น

ปัญหานี้สามารถแก้ไขได้ด้วยนโยบายสาธารณะสามารถช่วยได้ เช่น การเพิ่มภาษีเครื่องดื่ม ส่งผลให้ราคาเครื่องดื่มที่เสียภาษีสูงขึ้น ช่วยให้ซื้อเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลลดลง ดังที่ปรากฏในผลการศึกษาของมหาวิทยาลัยเบิร์กลีย์ในปี 2560

นอกจากนี้ การติดฉลากบอกปริมาณน้ำตาลให้ชัดเจน และการให้ความรู้ด้านโภชนาการอย่างสม่ำเสมอสามารถสนับสนุนทางเลือกที่ดีขึ้นได้ โดยไม่ต้องเพิ่มต้นทุน เช่นเดียวกับการเข้าถึงน้ำสะอาดก็มีความสำคัญเช่นกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในย่านที่มีท่อน้ำที่ไม่ปลอดภัยหรือน้ำพุมีจำกัด

ขณะเดียวกัน แผนการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศควรครอบคลุมถึงเรื่องอาหาร ศูนย์ให้ความเย็น น้ำดื่มสะอาด และมาตรการการทำงานของแรงงานสำหรับวันที่อากาศร้อน สามารถช่วยลดความต้องการของหวานในวันที่อากาศร้อนได้


ที่มา: AP NewsCBS NewsEarthNPR