นักวิจัยชี้ ‘วิศวกรรมธรณีขั้วโลก’ อันตราย! แนะ ‘ลดก๊าซเรือนกระจก’ คือทางออก

นักวิจัยชี้ ‘วิศวกรรมธรณีขั้วโลก’ อันตราย! แนะ ‘ลดก๊าซเรือนกระจก’ คือทางออก

นักวิจัยระบุแนวคิดทำขั้วโลกให้เย็นลง ที่เรียกว่า “วิศวกรรมธรณีขั้วโลก” ไม่สามารถทำได้จริง ต้นทุนสูง กระทบสิ่งแวดล้อม แนะวิธีที่ดีที่สุด คือ ลดก๊าซเรือนกระจก

KEY

POINTS

  • นักวิจัยชี้ว่าแนวคิด "วิศวกรรมธรณีขั้วโลก" เพื่อแก้ปัญหาน้ำแข็งละลายนั้นเป็นอันตราย มีความเสี่ยงสูงต่อระบบนิเวศ และไม่สามารถทำได้จริง
  • โครงการต่างๆ เช่น การสร้างม่านใต้ทะเล หรือการพ่นอนุภาคสะท้อนแสงอาทิตย์ มีค่าใช้จ่ายสูงและอาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมอย่างที่ไม่สามารถแก้ไขได้
  • รายงานสรุปว่าทางออกที่แท้จริงและเร่งด่วนที่สุดในการแก้ปัญหาภาวะโลกร้อนคือการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งเป็นวิธีที่ได้ผลและปลอดภัยกว่า

น้ำแข็งขั้วโลกละลายอย่างต่อเนื่อง นักวิทยาศาสตร์พยายามหาวิธีทำให้ขั้วโลกกลับมามีน้ำแข็งปกคลุมอีกครั้ง ซึ่งมีหลากหลายโครงการที่ถูกนำเสนอและทำการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อนำมาใช้จริง เช่น สร้างน้ำแข็งในอาร์กติกให้หนาขึ้น วิศวกรรมธรณีศาสตร์พลังงานแสงอาทิตย์ แต่ดูเหมือนว่าโครงการเหล่านี้จะเป็นแค่เพียงความฝันเท่านั้น เพราะไม่สามารถทำได้จริง ยิ่งไปกว่านั้น อาจก่อให้เกิดอันตรายที่ไม่อาจแก้ไขได้ จากผลการศึกษาใหม่ที่เผยแพร่เมื่อวันอังคาร

การละลายของแผ่นน้ำแข็งขั้วโลกขนาดมหึมา เป็นผลกระทบที่เห็นได้ชัดเจนจาก “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ” หากน้ำแข็งขั้วโลกละลายทั้งหมด ก็จะทำให้ระดับน้ำทะเลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก และในขณะนี้สถานการณ์ก็กำลังเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการแตกตัวของ A23a ภูเขาน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในโลก ซึ่งเกิดจากการสัมผัสกับน้ำทะเลที่อุ่นขึ้น และคลื่นซัด

แนวคิด “วิศวกรรมธรณีขั้วโลก” (polar geoengineering) ซึ่งเป็นการใช้วิทยาศาสตร์ช่วยให้อาร์กติกและแอนตาร์กติกาเย็น กำลังได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อย ๆ นักวิชาการและสตาร์ทอัพได้ริเริ่มโครงการวิจัยต่าง ๆ ขณะเดียวกันนักลงทุนและเม็ดเงินก็หลั่งไหลเข้ามา

ผู้สนับสนุนแนวคิดเหล่านี้กล่าวว่า ปัญหาสภาพภูมิอากาศทำให้ต้องเร่งหาวิธีการแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน แต่นักวิจัยอีกส่วนหนึ่งก็เห็นว่าวิธีเหล่านี้เป็นเรื่องที่อันตราย

แนวคิดวิศวกรรมธรณีขั้วโลกที่ถูกพูดถึงบ่อยมีด้วย 5 โครงการได้แก่ 1.การสูบน้ำทะเลลงบนน้ำแข็งเพื่อทำให้น้ำแข็งหนาขึ้น 2.การยึดม่านขนาดยักษ์ไว้กับพื้นทะเล เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำอุ่นละลายชั้นน้ำแข็ง 3.วิศวกรรมธรณีศาสตร์พลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Geoengineering) ซึ่งเป็นการพ่นอนุภาคที่สะท้อนแสงแดดขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์ เพื่อทำให้โลกเย็นลง 4.การสูบน้ำจากใต้ธารน้ำแข็ง เพื่อชะลอการไหลของแผ่นน้ำแข็ง 5.การเติมสารอาหาร เช่น เหล็ก ลงในมหาสมุทรขั้วโลก เพื่อกระตุ้นแพลงก์ตอนที่ดูดคาร์บอน

มาร์ติน ซีเกิร์ต นักธารน้ำแข็งวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยเอ็กซิเตอร์และผู้เขียนงานวิจัย ที่ตีพิมพ์ในวารสาร Frontiers in Science กล่าวว่า “แนวคิดเหล่านี้ถูกคิดขึ้นมาด้วยเจตนาดี แต่ก็ยังมีข้อบกพร่องอยู่” เขาและทีมนักวิทยาศาสตร์นานาชาติได้ประเมินแนวคิดที่ทั้ง 5 แนวคิด ในหลายด้าน ทั้งประสิทธิภาพ ความเป็นไปได้ ความเสี่ยง ต้นทุน ปัญหาการกำกับดูแล และความสามารถในการปรับขนาด 

รายงานสรุปว่า จากการตรวจสอบอย่างละเอียด ทั้ง 5 แนวคิดไม่ผ่านเกณฑ์การประเมิน และหากทำจริง ทั้งหมดจะเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม

อาร์กติกและแอนตาร์กติกาเป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีสภาพแวดล้อมที่เลวร้ายที่สุดของโลก และแนวคิดเหล่านี้ถูกคิดมาโดยไม่ได้พิจารณาถึงสภาพแวดล้อมของขั้วโลก และยังไม่มีวิธีการใดที่ได้รับการทดสอบอย่างจริงจังมาก่อนในโลกแห่งความเป็นจริง ซึ่งอาจทำให้ก่อความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมได้

ตามรายงานระบุว่า ม่านทะเลอาจรบกวนถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ทะเล รวมถึงแมวน้ำและวาฬ ขณะที่การเจาะรูเพื่อดูดน้ำจากใต้ธารน้ำแข็งอาจปนเปื้อนสภาพแวดล้อมที่บริสุทธิ์ และการพ่นอนุภาคขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศสตราโตสเฟียร์อาจเปลี่ยนแปลงรูปแบบสภาพภูมิอากาศโลกได้ 

ขณะที่ การโรยเศษแก้วขนาดเล็กลงบนพื้นผิวมหาสมุทรเพื่อป้องกันไม่ให้ดูดซับความร้อนจากดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดวิศวกรรมธรณีขั้วโลกที่ถูกพูดถึงอย่างมากก็เป็นเรื่องอันตรายเช่นกัน ตามงานวิจัยที่ดำเนินการโดยโครงการน้ำแข็งอาร์กติก (Arctic Ice Project) ระบุว่าแนวคิดนี้มีความเสี่ยงที่จะกระทบต่อห่วงโซ่อาหารในอาร์กติก 

โครงการเหล่านี้ยังมีค่าใช้จ่ายสูงลิ่ว โดยแต่ละโครงการประเมินว่าต้องใช้งบประมาณอย่างน้อย 10,000 ล้านดอลลาร์ในการติดตั้งและบำรุงรักษา ม่านทะเลเป็นหนึ่งในโครงการที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่สุด โดยคาดการณ์ว่าจะใช้งบประมาณ 80,000 ล้านดอลลาร์สำหรับม่านยาว 50 ไมล์ตลอดระยะเวลา 10 ปี

นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่โครงการเหล่านี้จะผ่านข้อตกลงระหว่างประเทศ และเสริมว่าการแทรกแซงฝ่ายเดียวจะยิ่งทำให้ความตึงเครียดทั่วโลกทวีความรุนแรงขึ้น

สหภาพยุโรปเป็นหนึ่งในกลุ่มที่ระบุว่าควรมีการประเมินผลกระทบของการแทรกแซงดังกล่าวอย่างละเอียดถี่ถ้วน เนื่องจากอาจส่งผลกระทบต่อแหล่งอาหารและน้ำ แม้ว่าเทคโนโลยีวิศวกรรมธรณีวิทยาเหล่านี้จะยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น แต่กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เนื่องจากความพยายามในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของแต่ละประเทศยังคงล้มเหลว

รายงานยังระบุอีกว่า ต่อให้โครงการเหล่านี้ทำได้จริง ก็ไม่มีโครงการใดสามารถนำไปใช้งานได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็วเพียงพอที่จะรับมือกับวิกฤติสภาพภูมิอากาศอย่างเร่งด่วน พร้อมสรุปว่า สิ่งที่ควรต้องทำมากที่สุดเพื่อลดปัญหาสภาพภูมิอากาศ คือ “การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก” 

อย่างไรก็ตาม นักวิทยาศาสตร์บางคนที่สนับสนุนให้ลดมลพิษและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกโดยเร็วที่สุด ก็ยังแนะนำว่าไม่ควรตัดความเป็นไปได้ในการวิจัยด้านวิศวกรรมธรณีขั้วโลก

“น่าเสียดายที่เรากำลังเผชิญกับความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมอย่างรุนแรงหากปราศจากวิศวกรรมธรณี แทนที่จะบอกว่าเราไม่ควรสนใจวิศวกรรมธรณีต่อไป เราควรเปลี่ยนมาเป็นการถกเถียงเกี่ยวกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้แทน” ฌอน ฟิตซ์เจอรัลด์ ผู้อำนวยการศูนย์ซ่อมแซมสภาพภูมิอากาศ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ผู้มีส่วนร่วมในโครงการวิศวกรรมภูมิอากาศ กล่าว

ขณะที่ ผู้สนับสนุนการศึกษาแนวคิดวิศวกรรมธรณีขั้วโลกกล่าวว่า นักวิทยาศาสตร์บางคนรีบปฏิเสธแนวคิดที่รู้สึกว่าไม่เป็นธรรมชาติ และแนวโน้มของภัยคุกคามจากสภาพภูมิอากาศนั้นรุนแรงเกินกว่าที่จะตัดสินใจอย่างฉับพลันเกี่ยวกับแนวทางแก้ไขที่อาจเกิดขึ้น

พีท เออร์ไวน์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์วิจัยด้านธรณีฟิสิกส์ มหาวิทยาลัยชิคาโก เรียกรายงานฉบับนี้ว่า เป็นการวิเคราะห์ข้อเสนอวิศวกรรมธรณีขั้วโลกแบบด้านเดียว โดยเน้นเฉพาะผลข้างเคียง ข้อเสีย และความเสี่ยงที่จะนำไปใช้ในทางที่ผิด แน่นอนว่าวิศวกรรมธรณีพลังงานแสงอาทิตย์ไม่สามารถทดแทนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ แต่การแทรกแซงเหล่านี้อาจมีส่วนสำคัญต่อสุขภาพของโลกของเรา

บทความของจอห์น มัวร์ นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแลปแลนด์ ระบุว่าการล็อบบี้ยิสต์มาหลายทศวรรษไม่ได้สร้างเจตจำนงทางการเมืองหรือสาธารณะที่สำคัญต่อการลดคาร์บอนอย่างจริงจัง ในบริบทนี้ จำเป็นอย่างยิ่งทางจริยธรรมที่จะต้องยอมรับงานวิจัยใด ๆ ที่สามารถชะลอภาวะโลกร้อนได้

“เราต้องการเปลี่ยนการพูดถึงเรื่องนี้ให้กลายเป็นกระแสหลัก แทนที่จะมองว่าเป็นเรื่องต้องห้าม และสามารถประเมินได้ตามปรกติ แนวคิดเหล่านี้อาจใช้ไม่ได้ผล แต่วิธีที่ง่ายที่สุดในการหักล้างแนวคิดเหล่านี้คือการทำวิจัยอย่างจริงจังและค้นหาสัญญาณเตือนภัยและทางออก”


ที่มา: BloombergCNNThe Conversation