โพลล่าสุด คนไทยกังวล คอร์รัปชัน–ความเหลื่อมล้ำ 56% มองว่าประเทศ 'มาผิดทาง'

โพลล่าสุด คนไทยกังวล คอร์รัปชัน–ความเหลื่อมล้ำ 56% มองว่าประเทศ 'มาผิดทาง'

ผลสำรวจชี้ว่าปัญหาคอร์รัปชัน (45%) และความยากจนกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม (37%) เป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของคนไทย คนไทยกว่าครึ่ง (56%) มองว่าประเทศกำลัง "มาผิดทาง" ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า

KEY

POINTS

  • ผลสำรวจชี้ว่าปัญหาคอร์รัปชัน (45%) และความยากจนกับความเหลื่อมล้ำทางสังคม (37%) เป็นความกังวลอันดับต้นๆ ของคนไทย
  • คนไทยกว่าครึ่ง (56%) มองว่าประเทศกำลัง "มาผิดทาง" ซึ่งเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า และ 65% มองว่าสถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ "ไม่ดี"
  • คนไทยส่วนใหญ่ (66%) รู้สึกว่า "สังคมกำลังแตกแยก" และเชื่อว่าระบบเศรษฐกิจของประเทศถูกบิดเบือนเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนรวยและผู้มีอำนาจ
  • จากความกังวลดังกล่าว ทำให้คนไทยส่วนใหญ่ต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งและกล้าที่จะ "แหกกฎ" เพื่อทวงคืนประเทศจากคนรวยและผู้มีอำนาจ

‘กรุงเทพธุรกิจ’ สรุปสาระสำคัญจากผลสำรวจล่าสุดของ Ipsos Global Advisor หน่วยงานสำรวจความคิดเห็นสาธารณะ (public opinion survey) ระดับนานาชาติของบริษัทอิปซอสส์ ในหัวข้อ "What Worries Thailand? H1 2025" พบว่า ความกังวลสำคัญของคนไทยในช่วงครึ่งแรกปี 2568 ได้แก่ การทุจริตทางการเงิน/การเมือง 45%, ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคม 37%, การว่างงาน: 31%, อัตราเงินเฟ้อ: 24% และอาชญากรรมและความรุนแรง 22%

ถึงแม้ว่า “ความกังวลด้านการทุจริตทางการเงิน/การเมือง” กลายเป็นข้อกังวลอันดับหนึ่งของสาธารณชนไทย  แต่ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังคงเป็นแก่นของความกังวลหลัก สะท้อนผ่านความรู้สึกเปราะบางทางสังคม สถานะเศรษฐกิจที่ถดถอย และความต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งเพื่อนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม

โพลล่าสุด คนไทยกังวล คอร์รัปชัน–ความเหลื่อมล้ำ 56% มองว่าประเทศ 'มาผิดทาง'

ความเหลื่อมล้ำ และความรู้สึกว่า "สังคมแตกแยก"

ผลสำรวจชี้ว่าความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมเป็นหนึ่งในห้าความกังวลอันดับต้นๆ ของคนไทยมาตั้งแต่ปี 2565 ความรู้สึกนี้ตอกย้ำด้วยสัดส่วนที่น่าตกใจถึง 66% ของคนไทยที่เชื่อว่า "สังคมกำลังแตกแยก" (Society is Broken) และ 60% ที่คิดว่าประเทศกำลังถดถอย

คนไทยรู้สึกถึงความเปราะบางทางสังคมและระดับชาติอย่างเห็นได้ชัด ประเทศไทยยังติดอันดับ 1 ในดัชนี "สังคมแตกแยก" โดยส่วนใหญ่เชื่อว่าระบบปัจจุบันไม่เอื้อประโยชน์

หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดความรู้สึกนี้คือ มุมมองที่ว่า "เศรษฐกิจของประเทศถูกบิดเบือนเพื่อเอื้อประโยชน์แก่คนรวยและผู้มีอำนาจ" โดย 61% ของคนไทยเห็นด้วยกับข้อความนี้ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 31 ประเทศ นอกจากนี้ ยังมีความตึงเครียดสูงมากระหว่างคนรวยและคนจน โดย 84% ของคนไทยระบุว่ามีความตึงเครียดในระดับมากหรือพอสมควร ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 30 ประเทศที่ 73%

เรียกร้องผู้นำที่ "กล้าแหกกฎ" และแก้ปัญหาเศรษฐกิจ

ท่ามกลางความรู้สึกเปราะบางนี้ คนไทยส่วนใหญ่เรียกร้องหาผู้นำที่แข็งแกร่ง โดย 79% ของคนไทยแสดงความต้องการผู้นำที่ "กล้าแหกกฎ" เพื่อแก้ไขประเทศ และ 77% สนับสนุนผู้นำที่แข็งแกร่งเพื่อ "ทวงคืนประเทศจากคนรวยและผู้มีอำนาจ" สิ่งนี้สะท้อนความไม่พอใจอย่างลึกซึ้งต่อสถานการณ์ปัจจุบันและระบบการเมืองที่ถูกมองว่าไม่ใส่ใจประชาชนอย่างแท้จริง

เศรษฐกิจที่ย่ำแย่ซ้ำเติมความกังวล

สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปัจจุบันยิ่งทำให้ความกังวลเรื่องความยากจนและความเหลื่อมล้ำรุนแรงขึ้น คนไทยมากกว่าครึ่ง (56%) มองว่าประเทศกำลัง "มาผิดทาง" เพิ่มขึ้น 13 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว และ 65% ของคนไทยอธิบายว่า สถานการณ์เศรษฐกิจในประเทศ "ไม่ดี" ซึ่งเพิ่มขึ้น 10 เปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว โดยความรู้สึกไม่ดีนี้ทวีความรุนแรงขึ้นในทุกกลุ่มรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย

ความวิตกกังวลทางเศรษฐกิจยังส่งผลกระทบต่อกำลังซื้อและการใช้จ่าย

  • 53% รู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของชิ้นใหญ่ เช่น บ้านหรือรถยนต์ และ 46% รู้สึกไม่สบายใจในการซื้อของใช้ในครัวเรือนอื่นๆ โดยครัวเรือนรายได้น้อยและปานกลางรู้สึกไม่สบายใจมากขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
  • เพียง 37% เท่านั้นที่คาดว่าสถานการณ์การเงินส่วนตัวจะดีขึ้นใน 6 เดือนข้างหน้า ลดลงถึง 17 จุดเปอร์เซ็นต์จากปีที่แล้ว และความคาดหวังเชิงลบนี้เด่นชัดที่สุดในกลุ่มครัวเรือนที่มีรายได้น้อย
  • 59% ของคนไทยรู้จักใครบางคนที่ตกงานในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา และ 28% กังวลว่าจะตกงานใน 6 เดือนข้างหน้า
  • 48% มีความมั่นใจน้อยลงเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงาน และ 54% มีความมั่นใจน้อยลงเกี่ยวกับความสามารถในการลงทุนในอนาคต เช่น การเก็บเงินเพื่อวัยเกษียณหรือการศึกษาของบุตรหลาน โดยครัวเรือนที่มีรายได้ปานกลางแสดงความกังวลทางการเงินมากที่สุดในประเด็นนี้

คนไทยยังระบุถึงสาเหตุหลักของค่าครองชีพที่สูงขึ้น ซึ่งรวมถึงนโยบายของรัฐบาล, ระดับอัตราดอกเบี้ย, สภาวะเศรษฐกิจโลก, การเรียกร้องขึ้นค่าแรงของคนงาน และ การทำกำไรเกินควรของธุรกิจ

การสร้างความเท่าเทียม

แม้จะมีปัญหามากมาย คนไทยส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการบรรลุความเท่าเทียมกันเป็นการส่วนตัว โดย 71% ของคนไทยมองว่าการบรรลุความเท่าเทียมระหว่างชายและหญิงเป็นเรื่องสำคัญหรือสำคัญมาก

นอกจากนี้ คนไทยยังสนับสนุนนโยบายความเท่าเทียมทางเพศที่ธุรกิจนำมาใช้ โดยมองว่ามีผลเชิงบวกต่อสังคม อย่างไรก็ตาม แม้ส่วนใหญ่เชื่อว่าความพยายามในการสร้างโอกาสที่เท่าเทียมมีความเหมาะสมแล้ว แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกว่ายังไม่เพียงพอ

ความยากจนและความเหลื่อมล้ำทางสังคมยังคงเป็นแก่นของความกังวลหลักของคนไทย สะท้อนผ่านความรู้สึกเปราะบางทางสังคม สถานะเศรษฐกิจที่ถดถอย และความต้องการผู้นำที่แข็งแกร่งเพื่อนำพาประเทศไปในทิศทางที่ดีขึ้น และแก้ไขปัญหาเชิงโครงสร้างที่เอื้อประโยชน์ให้กับคนบางกลุ่ม