ประกาศล่าสุด กทม. + 4 จังหวัดเหนือ เขตคุม PM2.5 หากแก้ไม่ได้...ใครรับผิดชอบ?

ประกาศล่าสุด กทม. + 4 จังหวัดเหนือ เขตคุม PM2.5 หากแก้ไม่ได้...ใครรับผิดชอบ?

กก.วล.เห็นชอบประกาศให้กรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน) เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของปี

KEY

POINTS

  • คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติมีมติเห็นชอบประกาศให้กรุงเทพมหานคร และ 4 จังหวัดภาคเหนือ (เชียงใหม่, เชียงราย, ลำพูน, แม่ฮ่องสอน) เป็นเขตควบคุมมลพิษเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ในช่วงเวลาที่แตกต่างกันของปี
  • การประกาศเขตควบคุมมลพิษมีวัตถุประสงค์เพื่อให้อำนาจผู้ว่าราชการจังหวัดและท้องถิ่นในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมในพื้นที่ของตน
  • นักวิชาการตั้งข้อสังเกตว่ามาตรการนี้อาจไม่ได้ผลจริง โดยชี้ว่าประเทศไทยมีเขตควบคุมมลพิษอยู่แล้ว 18 แห่ง แต่ยังไม่สามารถยกเลิกได้แม้แต่แห่งเดียว
  • มีการตั้งคำถามถึงผู้ที่จะต้องรับผิดชอบหากปัญหามลพิษยังคงยืดเยื้อและไม่ได้รับการแก้ไข พร้อมเรียกร้องให้มีกรอบเวลาและแผนการที่ชัดเจน

ประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ (กก.วล.) ครั้งที่ 4/2568 ได้พิจารณาให้ความเห็นชอบให้กรุงเทพมหานคร เป็นเขตควบคุมมลพิษ ในช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนมีนาคมของทุกปี นอกจากนั้น ยังพิจารณาเห็นชอบการประกาศกำหนดให้จังหวัดเชียงใหม่ จังหวัดเชียงราย จังหวัดลำพูน และจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นเขตควบคุมมลพิษในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนพฤษภาคมของทุกปี

เพื่อกระจายภาระหน้าที่และการมีส่วนร่วมในการจัดการปัญหาสิ่งแวดล้อมให้กับชุมชนในท้องถิ่น ตามบทบาทหน้าที่ของผู้ว่าราชการจังหวัด ในการจัดทำแผนปฏิบัติการเพื่อการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมในระดับจังหวัด และอำนาจหน้าที่ของ กก.วล. ในการส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม

ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวถือเป็นการบูรณาการการทำงานร่วมกันระหว่างภาครัฐส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค และท้องถิ่น อีกทั้งยังเป็นการยกระดับการแก้ไขปัญหามลพิษในเชิงพื้นที่ เพื่อให้ครอบคลุมการแก้ไขปัญหาฝุ่นละออง PM2.5 และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมในด้านอื่น โดยมุ่งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องได้เข้ามาร่วมแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
 

ครอบคลุมกว้างโดยไม่จำเป็น

“ดร.สนธิ คชวัฒน์” นักวิชาการด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ จากชมรมนักวิชาการสิ่งแวดล้อมไทย ออกมาแสดงความเห็นต่อการประกาศเขตควบคุมมลพิษเพื่อแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ว่า มลพิษทางอากาศที่มีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงฤดูหนาว และฤดูแล้ง 4 เดือน อาจกระทบการท่องเที่ยวต้องจัดการให้เร็ว

การประกาศเขตควบคุมมลพิษอ้างอิงตามพระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 มาตรา 59 ที่ให้อำนาจแก่คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติในการประกาศพื้นที่ที่มีมลพิษรุนแรงหรือคาดว่าจะเกิดอันตรายต่อสุขภาพประชาชนและสิ่งแวดล้อม ควรต้องพิจารณาผลกระทบทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม รวมถึงศักยภาพของท้องถิ่นว่าจะสามารถควบคุมและแก้ไขปัญหาได้จริงเพียงใด

อย่างไรก็ตาม การประกาศเขตควบคุมมลพิษไม่ควรทำแบบ “ครอบคลุมกว้างโดยไม่จำเป็น” เพราะหากท้องถิ่นไม่มีศักยภาพเพียงพอ ก็อาจกลายเป็นเพียงข้อกฎหมายที่ไม่สามารถนำไปสู่การแก้ปัญหาเชิงรูปธรรม และควรพิจารณามาตรการทางเลือกอื่นในการควบคุมและลดมลพิษแทน

ขั้นตอนลดและขจัดมลพิษ

ตามกฎหมาย มาตรา 60 เมื่อพื้นที่ใดถูกกำหนดให้เป็นเขตควบคุมมลพิษ เจ้าพนักงานท้องถิ่นต้องจัดทำ “แผนปฏิบัติการลดและขจัดมลพิษ” เสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด โดยแผนดังกล่าวต้องผ่าน 5 ขั้นตอนสำคัญ ได้แก่

  • สำรวจและเก็บข้อมูลแหล่งกำเนิดมลพิษ
  • จัดทำบัญชีรายละเอียดแหล่งกำเนิด
  • ศึกษาและประเมินสถานการณ์มลพิษ
  • กำหนดมาตรการลดและขจัดมลพิษ
  • นำแผนรวมในแผนจัดการสิ่งแวดล้อมระดับจังหวัด

18 แห่ง เขตควบคุมมลพิษ ยังแกปัญหาไม่ได้?

ดร.สนธิ ตั้งข้อสังเกตว่า ที่ผ่านมาประเทศไทยประกาศเขตควบคุมมลพิษแล้วถึง 18 แห่ง แต่ยังไม่สามารถยกเลิกได้แม้แต่แห่งเดียว ทั้งที่มีการเบิกงบประมาณทุกปีเพื่อดำเนินการในพื้นที่เหล่านั้น แต่ผลลัพธ์กลับไม่สามารถลดหรือแก้ปัญหามลพิษได้จริง ขณะที่ ฝุ่น PM2.5 เป็นปัญหาซับซ้อน มีแหล่งกำเนิดทั้งในพื้นที่และนอกพื้นที่ รวมถึงปัญหาฝุ่นข้ามจังหวัดและข้ามประเทศที่ยากต่อการจัดการ

“สิ่งที่ประชาชนคาดหวัง คือการเห็นกรุงเทพมหานครเป็นเมืองแรกที่สามารถแก้ปัญหา PM2.5 ได้สำเร็จโดยเร็ว ไม่ใช่การประกาศเขตควบคุมมลพิษแล้วปล่อยให้ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ โดยไม่มีเป้าหมายที่ชัดเจน”

ดร.สนธิกล่าว พร้อมตั้งคำถามว่า หากปัญหายืดเยื้อและแก้ไม่ได้ ใครจะต้องรับผิดชอบ — ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ หรือทั้งสองฝ่ายร่วมกัน?

"ถึงเวลาแล้วที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องแสดงความจริงใจ ด้วยการกำหนดกรอบเวลาและแผนการที่ชัดเจนในการลดและขจัดฝุ่น PM2.5 มิฉะนั้น ปัญหามลพิษทางอากาศจะยังคงเป็น “มรดกพิษ” ที่สังคมไทยต้องเผชิญต่อไป"