ปอดเมือง 5 จังหวะ จัดการน้ำท่วม

เย็นวันศุกร์ฝนเริ่มปรอย ในเวลาที่ทุกคนกำลังเลิกงาน เสียงยางรถบดแอ่งน้ำตรงโค้งเล็ก ๆ แถวบางขุนเทียน เด็กผู้ชายเอาชอล์กสีส้มขีด “เส้นสูงสุด” บนกำแพงหน้าร้านก๋วยเตี๋ยว
แม่บอกให้ยกของขึ้นชั้นสองภายใน “สามสิบนาที” ชายวินมอเตอร์ไซค์ตะโกนว่าตะแกรงหน้าเซเว่น “ตันแล้ว สองนาที” รถจะติดเพิ่มอีกสองชั่วโมง
เมืองที่ “หายใจไม่ทัน”: คำยาก ๆ ให้จำง่าย 4 คำ-เก็บ-ซึม-หน่วง-ระบาย
น้ำท่วมเมืองไม่ใช่แค่ “น้ำมากกว่าท่อ” แต่คือเรื่อง “จังหวะ” กับ “ความสามารถในการหายใจของเมือง” เหตุท่วมย่อ 4 ประเด็น 1.Runoff Coefficient (ค่าสัมประสิทธิ์การไหลบ่า): เมืองยิ่งแข็ง น้ำยิ่งไม่ซึม ลงพื้นไม่ได้ก็เทไหลพรืดลงท่อพร้อมกัน เหมือนน้ำบนโต๊ะกระจก
2.Return Period (คาบอุบัติ): ฝนตกหนัก “หนึ่งในห้าปี/ยี่สิบปี” คือโอกาสเกิด ไม่ใช่คำสาป เมืองควรออกแบบให้รับมือได้ “ตามความน่าจะเป็น” ไม่ใช่ภาวนาไม่ให้เกิด 3.Tidal Locking (น้ำทะเลหนุนล็อกน้ำ): ช่วงทะเลขึ้นสูง ประตูระบายน้ำต้องปิด น้ำในคลองเมืองเลย “ค้าง” รอ-คอขวดตามเวลา
4.Compound Flooding (ท่วมซ้อนเหตุ): ฝนหนัก + น้ำเหนือ + ทะเลหนุน ถ้ามาชนกันในไม่กี่ชั่วโมง เมืองที่เตรียมรับทีละเหตุจะ “หายใจไม่ทัน”
ตั้งชื่อสั้น ๆ ให้ติดหู: “ระบบหายใจของเมือง”-เมืองที่ดีต้อง “สูด” (เก็บ/ซึม) “กลั้น” (หน่วง) แล้วค่อย “ผ่อนลม” (ระบาย) ให้ตรงจังหวะน้ำลง
ปัจจุบันระบบระบายน้ำกรุงเทพฯ ทำได้อย่างเต็มที่แล้ว ถูกวาง “สเปกฐาน” ให้รับฝนราว 60 มม./ชั่วโมง พร้อมเครือข่ายคลองx (~ ประมาณ) ~ 1,682 คลอง (~2,600 กม.) ท่อระบาย ~6,400 กม. และสถานีสูบร่วม 400 แห่ง-หัวใจและหลอดเลือดของเมืองมีอยู่จริง แต่จะเริ่มสำลักเมื่อฝนเกินสเปกหรือเวลาทับซ้อนผิดจังหวะ (ฝนพีคชนทะเลหนุน) ซึ่งเป็นสิ่งที่เราเจอบ่อยขึ้นทุกปี ๆ นี้
ปริศนา 1-ถ้าขยายท่อให้ใหญ่ขึ้นสองเท่า เมืองจะหายท่วมไหม? ไม่เสมอไป เพราะถ้าฝนพีกมาตรงกับน้ำทะเลหนุน ประตูระบายต้องปิด ท่อใหญ่ก็ยัง “ตันทางออก” อยู่ดี - เราแค่หายใจเข้าลึกขึ้น แต่ยังไม่มีจังหวะหายใจออก
ปริศนา 2-ถ้าเพิ่มปั๊มอีกสิบเครื่อง จะทันแน่นอนใช่ไหม? ไม่เสมอไป ถ้าฝนเกินสเปก 60 มม./ชม. ต่อเนื่องหลายชั่วโมง ขณะประตูยังปิด ปั๊มก็ต้องดูดน้ำวนอยู่ในห้องเดิม จนกว่าจะถึงจังหวะทะเลลงจึงค่อยปล่อยได้ (นี่คือ “เวลา” ที่เป็นคอขวดของระบบ)
ปริศนา 3-ทำไมบางซอยกลับ “เอาตัวรอด” ดีกว่าสี่แยกใหญ่? เพราะซอยเล็กทำ สามชั้น ของระบบหายใจได้ครบ: หลังคา (แทงก์พัก/รางเก็บ) ผิวดิน (สวนซึม/พื้นพรุน) ท้องดิน (บ่อหน่วงเล็ก + วาล์วเวลา) ทำให้ยอดน้ำ (peak) “ยืด” ออก แทนจะพุ่งพร้อมกันในนาทีเดียว
และเบื้องหลังฉากใหญ่ของเมืองก็พยายามแก้ปัญหากับ “จังหวะ” อยู่แล้ว ตัวอย่างเช่นแนวทาง ลดระดับน้ำหน้าสถานีสูบล่วงหน้า (pre-drawdown) ก่อนฝนใหญ่มาถึง เพื่อสร้าง “ความจุสำรองชั่วคราว” แล้วค่อยเร่งระบายเมื่อทะเลลง-แบบหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนออกแรง นี่คือการบริหารเวลา ไม่ใช่แค่เพิ่มแรงสูบ
ความจริงพื้นหลัง: ระดับทะเลและผืนดินกำลังขยับ “จุดอ้างอิง”
เกมยากขึ้นเพราะ “พื้นหลัง” เปลี่ยน ระดับน้ำทะเลในอ่าวไทยโดยเฉพาะบริเวณอ่าวกรุงเทพ มีแนวโน้มสูงขึ้นหลายมิลลิเมตร/ปี ตามงานศึกษาระยะยาว ขณะที่การทรุดตัวของผืนดินแม้ “ดีขึ้นกว่ายุคสูบน้ำบาดาลหนัก”
แต่ยังพบอัตรา หลัก 10-30 มม./ปี ในหลายช่วง/หลายย่านจากการวัด InSAR ล่าสุด-แปลว่า พื้นรองรับน้ำของเราค่อย ๆ ต่ำลงเมื่อเทียบกับทะเล เมืองจึงต้อง “เพิ่มถุงลม” (พื้นที่เก็บ-ซึม-หน่วง) และ “เล่นจังหวะ” ให้แม่นขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ใช่หวังท่อใหญ่ท่อเดียวจะช่วยทุกเหตุการณ์
Rethink: ออกแบบ “ปอดเมือง 5 จังหวะ”-เก็บ-ซึม-หน่วง-ระบาย-สื่อสาร
1) เก็บ (Store): สูดน้ำขึ้น “ที่สูง” ก่อนชั่วโมงสีแดง :
แทงก์พักน้ำฝน ต่อจากรางหลังคาอาคาร บ้าน โรงเรียน วัด ใช้น้ำนี้ล้างพื้น/รดต้นไม้ในวันถัดไป-หนึ่งหลังอาจเล็ก แต่สิบหลังร้อยหลังคือ “แก้มลิงแนวตั้ง” ลานจอด/ชั้นใต้ดินติด, ถังพักแบบโมดูลาร์ เปิดรับช่วงพีก ปลดทิ้งเมื่อทะเลลง-เอาพื้นที่ที่มีอยู่มาทำงานเพิ่ม
2) ซึม (Infiltrate): เปลี่ยน “หยดลื่น” ให้เป็น “ดินอุ้ม”
ฟุตบาธผิวพรุน + ร่องซึม ข้างกำแพงโรงเรียน/วัด ทุก 50-100 เมตร, สวนซึม ทางเดินรถไฟฟ้า หน้าอาคาร 2-5 ตร.ม. แต่บ่อย ๆ ทั้งซอย คือ ความต่างระหว่างน้ำพุ่งเข้าท่อพร้อมกัน vs. ค่อย ๆ หยด
3) หน่วง (Detain): กลั้นลมชั่วคราว แล้วผ่อนตอนจังหวะลง
บ่อหน่วงชุมชน ทุก 200-400 เมตร-ต่อเข้าท่อด้วย วาล์วเวลา ที่เปิดเมื่อระดับน้ำคลอง/แม่น้ำต่ำ (อย่าปล่อยตอนประตูใหญ่ต้องปิด), ยืด “เวลาพีค” ของหน้าซอยลงให้ได้ 20-30 นาที ภายใน 6 เดือน-ตัวเลขเล็กแต่ช่วยให้ทั้งเขตหายใจทัน
4) ระบาย (Discharge): ระบายตามจังหวะ แทนดันสวนจังหวะ
แผนระบายที่รับรู้ “น้ำทะเลขึ้น-ลง” ล่วงหน้า (tide-aware operation) เร่งตอนทะเลลง ลดตอนทะเลขึ้น โยงกับพยากรณ์ฝนจริง, ใช้ “สเปกฐาน 60 มม./ชม.” เป็นภาษากลางของทั้งเมือง-ถ้าพยากรณ์เกินสเปก ต้อง “ขยายปอดชั่วคราว” (เพิ่มเก็บ-ซึม-หน่วง) ก่อนฝนมาถึง ไม่ใช่รอปั๊มอย่างเดียว
5) สื่อสาร (Inform): ให้ทั้งซอยหายใจพร้อมกัน
แดชบอร์ดชุมชน ง่ายสุด Line ชุมชน หมู่บ้าน บอกสถานะง่าย ๆ: “ตอนนี้กลั้น / อีก 45 นาทีจะผ่อน”, ปฏิทินชั่วโมงสีแดงรายเขต-ช่วงเวลาที่ไม่ควรปล่อยน้ำลงท่อ/คลอง เพื่อไม่ให้ไปชนกับช่วงประตูต้องปิด
ห้องทดลอง “เวทีเล็ก” Prototype ก่อน Policy
ตัวเลขสำคัญคือ 30 นาที “เวลาหายใจที่เราต้องแย่งคืน” ให้หน้าซอย ยืดเวลาพีค ผ่านเก็บ-ซึม-หน่วง เพื่อไม่ให้ระบบทั้งเมืองสำลักพร้อมกัน 2 นาที คือ “เวลาทองของการตัดสินใจเล็ก ๆ”-เห็นตะแกรงตัน แจ้ง/เปิดวาล์ว/ชะลอการปล่อยจากอาคาร
ถ้าเราทำถูกใน 2 นาทีแรก หลายซอยจะไม่ต้องลุ้น 2 ชั่วโมงรถติดเพิ่ม เมืองทั้งเมืองต้องช่วย “สูด-กลั้น-ผ่อน” ให้ถูกจังหวะ
เด็กที่ขีดเส้นชอล์กจึงไม่ได้ทำพิธีกรรมก่อนน้ำท่วม เขากำลังวาง แดชบอร์ดแบบบ้าน ๆ ตั้ง “จุดอ้างอิง” ให้บ้านรู้ว่าจะยกของสูงเท่าไร จะ “กลั้นลม” กี่นาที แล้ว “ผ่อน” ตอนไหน เมืองใหญ่ก็ทำได้เหมือนกัน-เพียงยอมรับว่ากรุงเทพฯ คือ ร่างกายใหญ่ที่มีหัวใจ (ประตูระบาย) ปอด (พื้นที่เก็บ-ซึม-หน่วง)
เส้นเลือด (คลอง-ท่อ) และสมองที่อ่าน “จังหวะฝน-ทะเล” ให้อยู่ในสเปกฐาน 60 มม./ชม. และเผื่อสำรองไว้เมื่อการพยากรณ์บอกว่าเกินสเปก (วันแบบนั้น เราต้อง “เพิ่มถุงลม” ชั่วคราว มากกว่าจะโทษท่อ)
น้ำไม่ได้ดื้อ-เวลา ต่างหากที่ไม่ยอมรอเรา ถ้าเรายอมตามเวลาของน้ำ จัดลมหายใจเมืองให้ถูกจังหวะ เมืองก็อยู่กับน้ำได้เหมือนเราหายใจกับอากาศ-ไม่ต้องตื่นตระหนก แค่รู้จังหวะ แล้วทำให้พร้อม-เริ่มสร้าง “ปอดเมือง 5 จังหวะ เก็บ ซึม หน่วง ระบาย สื่อสาร”







