มาตรฐาน​ใหม่​ 'ปลูกกาแฟ' ใต้ข้อกำหนด 119 ข้อ ทางรอดจากภัยเกษตรเชิงเดี่ยว

มาตรฐาน​ใหม่​ 'ปลูกกาแฟ' ใต้ข้อกำหนด 119 ข้อ ทางรอดจากภัยเกษตรเชิงเดี่ยว

จากวิกฤติสิ่งแวดล้อมที่เกษตรกรทั่วโลกเผชิญ สู่การหวนคืนภูมิปัญญาบรรพบุรุษ "เกษตรฟื้นฟู" คือคำตอบที่ช่วยฟื้นฟูทั้งดิน น้ำ และชีวิต โดยล่าสุด องค์กรพันธมิตรเพื่อป่าฝน (Rainforest Alliance) เปิดตัวมาตรฐานใหม่สำหรับกาแฟ นำร่องสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในประเทศไทย ที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาวิกฤติเกษตรไม่แพ้กัน

KEY

POINTS

  • เกษตรเชิงเดี่ยวแบบดั้งเดิมสร้างปัญหาสิ่งแวดล้อม เช่น ดินเสื่อมโทรม การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ และส่งผลกระทบต่อรายได้และสุขภาพของเกษตรกร
  • "เกษตรฟื้นฟู" ถูกนำเสนอเป็นทางออกในการแก้ปัญหา โดยเน้นการฟื้นฟูสุขภาพดินและระบบนิเวศ ซึ่งช่วยเพิ่มผลผลิตและสร้างความยั่งยืน
  • องค์กรพันธมิตรเพื่อป่าฝนได้เปิดตัว "มาตรฐานเกษตรฟื้นฟู" ใหม่ โดยเริ่มนำร่องกับอุตสาหกรรมกาแฟในไทย เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตเกษตรกรผู้ปลูกกาแฟ

ย้อนกลับไปในยุค พ.ศ. 2520 เกษตรกรเวียดนามจำนวนมากเปลี่ยนจากการปลูกชามาเป็นกาแฟ เพื่อหวังผลกำไรที่สูงขึ้น เช่นเดียวกับ ตรินห์ ตัน วินห์ ชายหนุ่มชาวเวียดนาม ผู้เริ่มต้นการทำเกษตรเชิงเดี่ยวอย่างเข้มข้น มีการใช้สารเคมีกำจัดศัตรูพืชมากถึง 8 ครั้งต่อปี เพื่อควบคุมความเสียหายของผลผลิต แต่การกระทำนี้กลับทำลายสิ่งมีชีวิตที่เป็นประโยชน์ เช่น แมงมุมและแมลงเต่าทอง ทำให้เกิดวงจรที่ต้องใช้ยาฆ่าแมลงบ่อยครั้งขึ้น ดินเสื่อมโทรม ผลผลิตลดลง และสุขภาพของครอบครัวก็ย่ำแย่ลงตามไปด้วย

ปัญหา "เกษตรเชิงเดี่ยว" ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในเวียดนาม แต่เป็นปัญหาที่ทั่วโลกต้องเผชิญ รวมถึงประเทศไทยที่ภาคเกษตรกรรมใช้ทรัพยากรน้ำเป็นสัดส่วนสูง และการขยายพื้นที่เพาะปลูกอย่างไม่เหมาะสมก็เป็นสาเหตุหลักของการสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ การทำลายถิ่นที่อยู่ตามธรรมชาติคือภัยคุกคามหลักต่อสิ่งมีชีวิตที่ใกล้สูญพันธุ์ถึง 9 ใน 10 ชนิด นอกจากนี้ พื้นที่เพาะปลูกทั่วโลก 1 ใน 5 เฮกตาร์ (1 เฮกตาร์ = 6.25 ไร่) ยังถือว่าเสื่อมโทรม ส่งผลให้ผลผลิตลดลงและรายได้ของเกษตรกรลดลง

สถานการณ์เกษตรกรรมในประเทศไทย

ประเทศไทยเป็นหนึ่งในผู้ผลิตและส่งออกสินค้าเกษตรที่สำคัญของโลก แต่เกษตรกรไทย โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อย ก็กำลังเผชิญกับความท้าทายที่คล้ายคลึงกัน จากรายงานของธนาคารโลกในปี พ.ศ. 2566 ระบุว่า แม้เกษตรกรรายย่อยจะผลิตอาหารส่วนใหญ่ของประเทศ แต่รายได้เฉลี่ยต่อครัวเรือนยังคงต่ำกว่าครัวเรือนในภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ นอกจากนี้ จากข้อมูลของสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) พบว่า การขยายตัวของพื้นที่เกษตรกรรมเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้พื้นที่ป่าลดลงและส่งผลกระทบต่อระบบนิเวศ

ทางออกด้วย "เกษตรฟื้นฟู"

ในภาวะที่การเกษตรโลกกำลังใกล้ถึงจุดวิกฤติ "เกษตรฟื้นฟู" (Regenerative Agriculture) จึงเป็นทางออกที่สำคัญ โดยแนวทางนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นภูมิปัญญาที่สืบทอดกันมาหลายพันปีจากชนเผ่าพื้นเมืองทั่วโลก เช่น การทำวนเกษตร การปลูกพืชคลุมดินเพื่อบำรุงดิน และการลดการใช้สารเคมีสังเคราะห์ ซึ่งทั้งหมดนี้ช่วยให้ดินมีสุขภาพดี กักเก็บน้ำได้ดีขึ้น และเพิ่มความต้านทานต่อการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ

สำหรับตรินห์ ตัน วินห์ กล่าวว่าในเวียดนาม จุดเปลี่ยนมาถึงในปี พ.ศ. 2551 เมื่อเขาเริ่มหันมาใช้เกษตรฟื้นฟู เช่น ปลูกถั่วลิสงเพื่อป้องกันการพังทลายของหน้าดิน ใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน ซึ่งปัจจุบันฟาร์มของเขามีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 40% ต่อปี เมื่อเทียบกับฟาร์มข้างเคียง

มาตรฐานใหม่สู่การเปลี่ยนแปลง

ล่าสุด องค์กรพันธมิตรเพื่อป่าฝน ได้เปิดตัว "มาตรฐานเกษตรฟื้นฟู" (Regenerative Agriculture Standard) และตราสัญลักษณ์ใหม่ สำหรับผลิตภัณฑ์กาแฟ มาตรฐานนี้ประกอบด้วยข้อกำหนดถึง 119 ข้อ ที่ครอบคลุมทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม ซึ่งแบ่งออกเป็น 5 ด้านหลัก ดังนี้

1. สุขภาพและความอุดมสมบูรณ์ของดิน

  • การเพิ่มธาตุอาหารและอินทรียวัตถุในดิน: ส่งเสริมการใช้ปุ๋ยอินทรีย์ ปุ๋ยหมัก และพืชคลุมดินเพื่อเพิ่มความอุดมสมบูรณ์และโครงสร้างของดินตามธรรมชาติ
  • การลดการรบกวนดิน: ลดการไถพรวนดินให้น้อยที่สุด เพื่อคงสภาพจุลินทรีย์ในดินและป้องกันการชะล้างพังทลายของหน้าดิน
  • การจัดการน้ำอย่างมีประสิทธิภาพ: ส่งเสริมการกักเก็บน้ำในดิน เช่น การทำคันดิน และการเลือกใช้พืชที่เหมาะสมกับพื้นที่

2. ความยืดหยุ่นต่อสภาพภูมิอากาศ

  • การกักเก็บคาร์บอนในดิน: เน้นการปฏิบัติที่ช่วยเพิ่มอินทรียวัตถุในดิน ซึ่งเป็นแหล่งกักเก็บคาร์บอนตามธรรมชาติ
  • การปรับตัวต่อสภาพอากาศที่รุนแรง: ส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายชนิดและการทำวนเกษตร เพื่อสร้างระบบที่ทนทานต่อภัยแล้งหรือน้ำท่วม
  • การจัดการพลังงาน: ส่งเสริมการใช้พลังงานหมุนเวียนและลดการใช้พลังงานฟอสซิลในการทำฟาร์ม

3. ความหลากหลายทางชีวภาพ

  • การอนุรักษ์พื้นที่ธรรมชาติ: กำหนดให้มีการรักษาและฟื้นฟูพื้นที่ป่าหรือพื้นที่ธรรมชาติในฟาร์ม เพื่อเป็นที่อยู่อาศัยของสิ่งมีชีวิต
  • การจัดการความหลากหลายทางพันธุกรรม: ส่งเสริมการปลูกพืชหลากหลายสายพันธุ์ (รวมถึงพืชท้องถิ่น) และการรักษาแมลงผสมเกสรตามธรรมชาติ
  • การควบคุมศัตรูพืชแบบผสมผสาน (IPM): เน้นการใช้ศัตรูธรรมชาติ เช่น แมลงตัวห้ำหรือแมลงตัวเบียน และหลีกเลี่ยงการใช้ยาฆ่าแมลงเคมีที่ทำลายระบบนิเวศ

4. การจัดการทรัพยากรน้ำ

  • การอนุรักษ์แหล่งน้ำ: ป้องกันมลพิษจากสารเคมีไหลลงสู่แหล่งน้ำสาธารณะ
  • การใช้น้ำอย่างประหยัดและคุ้มค่า: ส่งเสริมเทคนิคการให้น้ำที่ลดการสูญเสีย เช่น ระบบน้ำหยด และการปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อย

5. คุณภาพชีวิต 

  • การส่งเสริมรายได้ที่ยั่งยืน: มีข้อกำหนดที่ช่วยให้เกษตรกรได้รับรายได้ที่เป็นธรรมและมีช่องทางการตลาดที่มั่นคง
  • การคุ้มครองแรงงาน: กำหนดมาตรฐานด้านสิทธิแรงงานที่ยุติธรรม สภาพการทำงานที่ปลอดภัย และห้ามใช้แรงงานเด็ก
  • การมีส่วนร่วมของชุมชน: ส่งเสริมให้เกษตรกรมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและการพัฒนาชุมชนของตนเอง

มาตรฐานนี้มีเป้าหมายเพื่อให้เกษตรกรและบริษัทสามารถวัดผลความก้าวหน้าในทุกมิติได้อย่างเป็นรูปธรรมและโปร่งใส โดยในอนาคต มาตรฐานนี้จะถูกขยายไปยังพืชผลอื่น ๆ เช่น โกโก้ ส้ม และชา ภายในปี พ.ศ. 2569

การนำร่องในอุตสาหกรรมกาแฟของไทยจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง เนื่องจากเกษตรกรไทยจำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่ภาคเหนือ มีการปลูกกาแฟพันธุ์อาราบิกา ซึ่งหากสามารถปรับเปลี่ยนมาใช้มาตรฐานเกษตรฟื้นฟูได้ ก็จะช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตและสร้างความยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมกาแฟไทยในระยะยาว

ที่มา : Rainforest Alliance