ทายาทรุ่น 4 พลิกโฉมธุรกิจที่นอน 95 ปี ปั้น 'นอนนอน' ให้เช่า+นำกลับรีไซเคิล

ทายาทรุ่น 4 พลิกโฉมธุรกิจที่นอน 95 ปี ปั้น 'นอนนอน' ให้เช่า+นำกลับรีไซเคิล

ทายาทรุ่นที่ 4 ของธุรกิจที่นอนเก่าแก่ 95 ปี ก่อตั้งสตาร์ทอัพ "นอนนอน" (Norn Norn) ให้เช่าที่นอนคุณภาพสูงแก่ลูกค้าธุรกิจและบุคคลทั่วไป มุ่งเน้นแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าจะนำที่นอนกลับมาแยกส่วนเพื่อรีไซเคิล

KEY

POINTS

  • ทายาทรุ่นที่ 4 ของธุรกิจที่นอนเก่าแก่ 95 ปี ก่อตั้งสตาร์ทอัพ "นอนนอน" (Norn Norn) เพื่อพลิกโฉมธุรกิจครอบครัว
  • ใช้โมเดลธุรกิจใหม่ในรูปแบบบริการ (Product-as-a-Service) คือการ "ให้เช่าที่นอน" คุณภาพสูงแก่ลูกค้าธุรกิจและบุคคลทั่วไป
  • มุ่งเน้นแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม โดยเมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าจะนำที่นอนทุกชิ้นกลับมาแยกส่วนเพื่อรีไซเคิลตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน

"ที่นอนใช้แล้วเป็นหนึ่งในขยะชิ้นใหญ่ที่สร้างภาระต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยน้ำหนักและขนาดที่เกินกว่าจะจัดการได้ง่าย และจำนวนมหาศาลที่ถูกทิ้งเพิ่มขึ้นทุกปี"

ทายาทรุ่น 4 ของธุรกิจเกี่ยวกับที่นอน จาก 'ร้านย่งซุนหงวน' หน้าตลาดพาหุรัดในกรุงเทพฯ เมื่อเกือบ 95 ปีที่แล้ว “นพพล เตชะพันธ์งาม” ผู้ก่อตั้ง และ CEO ของ “นอนนอน” (Norn Norn) ได้พลิกโฉมธุรกิจครอบครัว สู่สตารทอัพ ที่เห็นความสำคัญของการแก้ปัญหาขยะที่นอน ด้วยการสร้างโมเดลธุรกิจ “สินค้าในรูปแบบบริการ” (Product-as-a-Service) ให้เช่าที่นอนและเครื่องนอนคุณภาพสูง สำหรับกลุ่มลูกค้า B2B และ B2C ด้วยอัตราค่าเช่าที่เข้าถึงง่าย ช่วยลดการเกิดขยะให้นำสินค้าทุกชิ้นกลับมารีไซเคิลเมื่อสิ้นสุดการใช้งาน ซึ่งไม่เพียงแต่ช่วยให้ลูกค้าประหยัดการลงทุน แต่ยังมุ่งมั่นอย่างเต็มที่ในการรักษาสิ่งแวดล้อม

เส้นทางธุรกิจที่นอน

“นพพล” เล่าว่า ธุรกิจที่นอนของครอบครัวที่มีประวัติยาวนานถึง 95 ปี เมื่อปี 2475 คุณทวด เปิดร้านย่งซุนหงวน จำหน่ายที่นอนนุ่นในย่านพาหุรัด ซึ่งในยุคนั้นถือเป็นสินค้าหรูหราที่พบได้เฉพาะตามบ้านผู้มีฐานะ

ทายาทรุ่นที่สอง คุณตา ผลิตทั้งที่นอนนุ่น ฟองน้ำ และต่อยอดสู่ที่นอนสปริง พร้อมแยกตัวไปเปิด ร้านสุขวัฒนา ที่ย่านกิ่งเพชรในปี 2502 จากนั้นตั้ง บริษัท ไทยควิลติ้งโปรดักชั่น จำกัด และ บริษัท ที่นอนดาร์ลิ่ง จำกัด สร้างโรงงานผลิตที่นอนสปริงแบรนด์ ‘ดาร์ลิ่ง’ (Darling) แห่งแรกในประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทายาทรุ่นที่สาม คุณพ่อและคุณแม่ ก่อตั้ง บริษัท สมพลเบดดิ้ง แอนด์ แมทเทรส อินดัสตรี จำกัด พร้อมเปิดตัวแบรนด์ ‘สปริงเมท’ (Springmate) ที่มุ่งเจาะตลาดธุรกิจที่พัก โรงแรม และรีสอร์ต ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ

ทายาทรุ่น 4 พลิกโฉมธุรกิจที่นอน 95 ปี ปั้น 'นอนนอน' ให้เช่า+นำกลับรีไซเคิล

หนุนเศรษฐกิจหมุนเวียน

“นพพล” เล่าต่อว่า ไปศึกษาที่อังกฤษตั้งแต่อายุ 13 เมื่อจบการศึกษาปริญญาตรี สาขาฟิสิกส์และทฤษฎีทางฟิสิกส์ จากมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ และอนุปริญญาโท สาขาเศรษฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ก็กลับไทย สานต่อสู่ธุรกิจของที่บ้าน นำองค์ความรู้ที่เรียนมานำมาคิดอย่างเป็นระบบ

‘นอนนอน’ ก่อในปี 2561 เป็นรูปแบบสตาร์ทอัพที่ภายใต้แนวคิดระบบเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) เพราะเชื่อว่าธุรกิจควรเป็นเครื่องมือในการสร้างสิ่งดีๆ ให้กับสังคมและโลก และมองเห็น pain points สำคัญ 3 ประการในอุตสาหกรรมที่นอนแบบดั้งเดิม คือ

  1. การเข้าถึงที่นอนคุณภาพสูง: ลูกค้าจำนวนมากทั้งภาคธุรกิจและครัวเรือนไม่มีงบประมาณเพียงพอที่จะเข้าถึงที่นอนคุณภาพดี
  2. ปัญหาการทิ้งที่นอน: ที่นอนเป็นสินค้าขนาดใหญ่ที่ทิ้งยาก ส่วนใหญ่จะถูกนำไปฝังกลบหรือเผาทำลาย ซึ่งเป็นปัญหาระดับโลก โดยมีการประเมินว่ามีที่นอนถูกทิ้งมากกว่า 150 ล้านชิ้นต่อปีทั่วโลก และหลายสิบล้านชิ้นในภูมิภาคอาเซียน
  3. การขาดการรีไซเคิล: กระบวนการรีไซเคิลที่นอนนั้นไม่คุ้มทุน ทำให้ไม่มีใครดำเนินการอย่างจริงจัง

“เราเริ่มต้นโครงการนำร่องในประเทศไทยและอินโดนีเซียพร้อมกัน โดยไทยถือเป็นผู้นำด้านธุรกิจบริการที่พัก ทำให้มีฐานลูกค้า B2B จำนวนมาก ในขณะที่อินโดนีเซียมีประชากรจำนวนมากและอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่กำลังเติบโต แม้จะมีความสำเร็จ แต่ยอมรับว่าการสร้างธุรกิจที่ยั่งยืนนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายและต้องใช้เวลา โดยเฉพาะในสภาพเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อมที่มีความผันผวนสูง”
ทายาทรุ่น 4 พลิกโฉมธุรกิจที่นอน 95 ปี ปั้น 'นอนนอน' ให้เช่า+นำกลับรีไซเคิล

เช่าที่นอนเริ่มต้น 89 บ.

“นพพล” อธิบายว่า โมเดลนี้ช่วยให้ลูกค้า โดยเฉพาะธุรกิจบริการที่พักไม่ต้องลงทุนก้อนใหญ่ในการซื้อที่นอน เมื่อสิ้นสุดสัญญา นอนนอนจะรับที่นอนกลับมาเพื่อแยกชิ้นส่วนและนำไปรีไซเคิล ค่าใช้บริการขึ้นอยู่กับแบรนด์ ขนาด และรุ่นของที่นอน รวมถึงระยะเวลาในการใช้บริการที่คุณเลือก

โดยมีราคาเริ่มต้นเพียง 89 บาทต่อชิ้นต่อเดือน สำหรับเงื่อนไขการสั่งซื้อ ลูกค้าธุรกิจหรือนิติบุคคลจะต้องใช้บริการขั้นต่ำ 10 ชิ้นต่อการสั่งซื้อหนึ่งครั้ง ขณะที่ลูกค้าบุคคลทั่วไปสามารถใช้บริการได้ตั้งแต่ 1 ชิ้นต่อการสั่งซื้อหนึ่งครั้ง ระยะเวลาสัญญาตั้งแต่ 12-120 เดือน

ธุรกิจที่ยึดเป้า SDGs

“นพพล” บอกว่า นอนนอนยึดเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals: SDGs) ของสหประชาชาติ ข้อ 8–13 ที่ครอบคลุมตั้งแต่การสร้างงานที่มีคุณค่าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ การพัฒนาอุตสาหกรรมและนวัตกรรม การลดความเหลื่อมล้ำ ไปจนถึงการสร้างเมืองและชุมชนที่ยั่งยืน การบริโภคและการผลิตอย่างรับผิดชอบ และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

“สำหรับเราแล้ว การทำธุรกิจไม่ได้หยุดอยู่ที่การสร้างผลกำไรอย่างเดียว แต่คือการนำกำไรกลับไปต่อยอดให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น ผลกำไรส่วนใหญ่ของเราถูกนำไปใช้เพื่อพัฒนากระบวนการรีไซเคิลสินค้า ลงทุนในการวิจัยและเทคโนโลยีรีไซเคิลใหม่ๆ และขยายบริการของเราออกไปในระดับนานาชาติ เพื่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ยั่งยืนทั้งต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม”

โดยนอนนอนร่วมมือกับพันธมิตรในการวิจัยและพัฒนา (R&D) เช่น มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ ประเทศอังกฤษ เพื่อหาวิธีสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจจากชิ้นส่วนที่นอนเหล่านั้น เช่น การย่อยสลายฟองน้ำเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์อีกครั้ง

วิธีรีไซเคิลที่นอน

เมื่อครบอายุการใช้งานหรือหมดสัญญาเช่า ที่นอนแต่ละชั้นจะถูกแยกออกตามวัสดุเพื่อเข้าสู่กระบวนการแปรรูปอย่างเหมาะสม เช่น

  • ผ้าแผ่นสีใสด้านบนสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมต่างๆ หรือแปรรูปเป็นเส้นใยสำหรับสิ่งทอ
  • ส่วนชั้นกลางที่ประกอบด้วยเส้นใยจากการปั่นความเร็วสูงสามารถหลอมใหม่เพื่อผลิตเป็นเส้นใยชนิดอื่นๆ ได้
  • ฟองน้ำด้านล่างจะถูกนำเข้าสู่กระบวนการรวมตัวของโมโนเมอร์ (polyol monomer) เพื่อผลิตวัสดุโฟมใหม่สำหรับการใช้งานต่อไป

ทุกขั้นตอนถูกออกแบบให้ลดของเสียและเพิ่มคุณค่าของวัสดุเดิมอย่างสูงสุด สะท้อนถึงพันธกิจของแบรนด์ในการสร้างวงจรผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อโลกและตอบโจทย์การใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ

ที่ผ่านมามีส่วนช่วยลดการเกิดภาวะโลกร้อนได้อย่างน้อย 31% ลดการเกิดมลภาวะทางอากาศอย่างน้อย 28% และการเกิดสารพิษที่ไม่ก่อให้เกิดมะเร็งในมนุษย์อย่างน้อย 24%

ทายาทรุ่น 4 พลิกโฉมธุรกิจที่นอน 95 ปี ปั้น 'นอนนอน' ให้เช่า+นำกลับรีไซเคิล

กลไกการเงินสีเขียว

อีกหนึ่งจุดเด่น คือ นอนนอนให้ความสำคัญกับนวัตกรรมทางการเงิน โดยบริษัทถือเป็นสตาร์ทอัพไทยรายแรกที่ออก หุ้นกู้สีเขียว (Green Bond) เป็นไปตามเกณฑ์ของ ก.ล.ต และ ICMA และต่อยอดสู่การออก “Digital Investment Token” ซึ่งอ้างอิงบนเทคโนโลยีบล็อกเชน แม้จะมีลักษณะคล้ายโทเคน แต่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับคริปโตเคอร์เรนซีโดยตรง ถือว่ามีความล้ำหน้ากว่าหลายประเทศ ทั้งในยุโรปและเอเชีย

“นพพล” กล่าวว่า โทเคนนี้ทำหน้าที่คล้ายมินิบอนด์ หรือหุ้นกู้ขนาดเล็ก โดยมีสัญญาการใช้บริการที่นอนระยะยาวของลูกค้าเป็นหลักประกัน เงินทุนที่ระดมได้จะถูกนำไปใช้จัดซื้อที่นอน เพื่อรองรับการให้บริการ ขณะที่ค่าเช่ารายเดือนจากลูกค้าจะถูกนำมาใช้จ่ายเป็น ผลตอบแทนคืนแก่ผู้ถือโทเคน

กลไกดังกล่าวทำให้นักลงทุนไม่เพียงได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสม แต่ยังได้เห็นผลลัพธ์เชิงบวกที่จับต้องได้ต่อสิ่งแวดล้อม เช่น การสร้าง Carbon Credit และ Plastic Credit นับเป็นรูปแบบ Green Financing ระยะยาว ที่ชัดเจนและสร้างคุณค่าในเชิงระบบ

ทั้งนี้ วิสัยทัศน์ในอีก 10-20 ปีข้างหน้าของนอนนอน คือการมุ่งสู่ “ความเป็นกลางทางคาร์บอน” (Carbon Neutral) และสร้างระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนให้เกิดขึ้นได้จริง นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ยุคสมัย เช่น การออกแบบที่นอนที่เบาขึ้นเพื่อให้ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย หรือแม้กระทั่งที่นอนแบบ “Self-Cleaning” สำหรับสังคมผู้สูงอายุ