‘ชาร้อน’ มี ‘ไมโครพลาสติก’ มากที่สุด ปนเปื้อนจากถุงชา+แก้วพลาสติก

งานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่า “เครื่องดื่มร้อน” อาจทำให้ร่างกายได้รับ “ไมโครพลาสติก” ปริมาณมากเกินกว่าที่คาด
KEY
POINTS
- งานวิจัยพบว่าชาร้อนมีปริมาณไมโครพลาสติกปนเปื้อนสูงที่สุด เมื่อเทียบกับเครื่องดื่มชนิดอื่น ๆ
- แหล่งที่มาหลักของการปนเปื้อนมาจากบรรจุภัณฑ์ เช่น ถุงชา และแก้วพลาสติกแบบใช้แล้วทิ้ง โดยความร้อนเป็นตัวเร่งสำคัญที่ทำให้พลาสติกหลุดออกมา
- ผลการศึกษาชี้ว่าถุงชาแบรนด์ที่มีราคาแพงที่สุดมีความเข้มข้นของไมโครพลาสติกสูงกว่าแบรนด์ราคาถูกอย่างมีนัยสำคัญ
“ไมโครพลาสติก” มีอยู่รอบตัวเรา ทั้งในอากาศ ในทะเลและภูเขา รวมถึงพบในสิ่งมีชีวิตต่าง ๆ ทั้งพืชและสัตว์ หรือแม้แต่ในร่างกายของมนุษย์ก็มีไมโครพลาสติกเช่นกัน ซึ่งเข้าสู่ร่างกายจากการหายใจและการบริโภค จึงไม่น่าแปลกใจที่ของเหลวที่เราดื่มจะนำพาอนุภาคจิ๋วเหล่านี้เข้าร่างกาย การศึกษาก่อนหน้านี้ระบุว่าไมโครพลาสติกมีอยู่ทั้งในน้ำประปาและน้ำดื่มบรรจุขวด แต่งานวิจัยใหม่เผยให้เห็นว่าเครื่องดื่มร้อนอาจเป็นแหล่งกำเนิดไมโครพลาสติกที่ใหญ่ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน
ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮมทดสอบหาไมโครพลาสติกเครื่องดื่ม 155 ตัวอย่าง จาก 31 แบรนด์ยอดนิยมในสหราชอาณาจักร ซึ่งรวมถึงเครื่องดื่มในแก้วแบบใช้แล้วทิ้ง น้ำผลไม้บรรจุขวด และเครื่องดื่มชูกำลังแบบกระป๋อง ทั้งเครื่องดื่มร้อนและเย็น เพื่อให้ได้ภาพรวมของปริมาณไมโครพลาสติกที่มนุษย์ได้รับโดยเฉลี่ย
นักวิจัยได้กรองเครื่องดื่ม และใช้เทคนิคไมโคร-FTIR spectroscopy เพื่อวัดอนุภาคไมโครพลาสติกที่มีขนาดตั้งแต่ 10-157 ไมโครเมตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นหาพอลิเมอร์พลาสติกสังเคราะห์ เช่น โพลีโพรพิลีน โพลีเอทิลีนเทเรฟทาเลต (PET) และโพลีสไตรีน โดยเครื่องดื่มเย็นจะถูกกรองทันที ในขณะที่เครื่องดื่มร้อนจะถูกปล่อยให้เย็นลงเป็นเวลา 30 นาทีก่อนการวิเคราะห์
การวิจัยพบว่า ชาร้อนและกาแฟร้อนมีความเข้มข้นของไมโครพลาสติกสูงที่สุด ขณะที่ชาและกาแฟเย็นมีไมโครพลาสติกด้วยน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ ชี้ให้เห็นว่าอุณหภูมิและกระบวนการผลิตเครื่องดื่มร้อนที่สูงมีส่วนทำให้เกิดไมโครพลาสติกในผลิตภัณฑ์
โดยเฉลี่ยแล้ว ชาร้อนมีอนุภาคไมโครพลาสติกประมาณ 60 อนุภาคต่อลิตร ในขณะที่กาแฟร้อนมีประมาณ 43 อนุภาค นักวิจัยพบว่าเครื่องดื่มเย็นเหล่านี้มีไมโครพลาสติกน้อยกว่าอย่างมีนัยสำคัญ โดยชาเย็นมี 31 อนุภาคต่อลิตร และกาแฟเย็นมี 37 อนุภาคต่อลิตร
ผลการวิจัยชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า วัสดุของถ้วยแบบใช้แล้วทิ้งเป็นแหล่งที่มาหลักของไมโครพลาสติก โดยมีความร้อนเป็นตัวเร่งการปล่อยอนุภาคพลาสติกออกจากบรรจุภัณฑ์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าเครื่องดื่มเย็นจะไม่มีไมโครพลาสติกอยู่ วิจัยพบว่าน้ำผลไม้มีปริมาณไมโครพลาสติกเฉลี่ย 30 อนุภาคต่อลิตร เครื่องดื่มชูกำลังมีปริมาณ 25 อนุภาค และน้ำอัดลมมีปริมาณ 17 อนุภาค
อนุภาคพลาสติกที่พบมากที่สุด คือ โพลีโพรพิลีน พลาสติกที่นิยมใช้ทำฝาและซับในแก้ว รองลงมาคือโพลีสไตรีนและ PET ที่ใช้ทำขวดพลาสติก
นอกจากนี้ ทีมวิจัยตั้งข้อสังเกตว่าผลิตภัณฑ์ราคาแพงไม่ได้หมายความว่าผลิตภัณฑ์จะสะอาดเสมอไป เพราะพบว่า แบรนด์ถุงชาที่มีราคาแพงที่สุดมีความเข้มข้นของไมโครพลาสติก (MP) สูงสุด สูงกว่าที่พบในถุงชาราคาถูกอย่างมีนัยสำคัญ ผลการวิจัยนี้ขัดแย้งกับสมมติฐานทั่วไปที่ว่าราคาที่สูงขึ้นสัมพันธ์กับผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า
ศ.โมฮัมเหม็ด อับดุลลาห์ จากมหาวิทยาลัยเบอร์มิงแฮม หนึ่งในหัวหน้าทีมวิจัยของงานวิจัยนี้ กล่าวกับ The Independent ว่า งานวิจัยจำนวนมากเกี่ยวกับไมโครพลาสติกมุ่งเน้นไปที่น้ำดื่ม ทั้งน้ำประปา น้ำดื่มบรรจุขวด แต่ผู้คนไม่ได้ดื่มน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียวในแต่ละวัน เราดื่มชา กาแฟ น้ำผลไม้และอื่น ๆ อีกมากมาย
“เราพบไมโครพลาสติกอยู่ทั่วไปในเครื่องดื่มเย็นและร้อนทุกชนิดที่เราตรวจสอบ ซึ่งน่าตกใจมาก ในแต่ละเช้าผู้คนนับล้านต่างดื่มชาและกาแฟ ดังนั้นนี่จึงเป็นสิ่งที่ต้องพิจารณาอย่างแน่นอน รัฐบาลและองค์กรระหว่างประเทศควรออกกฎหมาย เพื่อให้มนุษย์สัมผัสไมโครพลาสติกน้อยลง แต่เราไม่ควรพิจารณาแค่เรื่องน้ำเท่านั้น เราควรศึกษาวิจัยให้ครอบคลุมมากขึ้น เพราะแหล่งข้อมูลอื่น ๆ ก็มีความสำคัญเช่นกัน”
ทีมวิจัยได้พัฒนางานวิจัยต่อไปโดยการสำรวจผู้ใหญ่กว่า 200 คน เกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่มประจำวัน เพื่อประเมินการสัมผัสกับไมโครพลาสติกผ่านเครื่องดื่มในโลกแห่งความเป็นจริง โดยประเมินว่าปริมาณไมโครพลาสติกที่ผู้หญิงได้รับในแต่ละวันอยู่ที่ประมาณ 1.7 อนุภาคต่อน้ำหนักตัว 1 กก. ส่วนผู้ชายอยู่ที่ 1.6 อนุภาคต่อน้ำหนักตัว 1 กก.
แม้ว่าผลกระทบของไมโครพลาสติกต่อมนุษย์จะยังคงอยู่ระหว่างการศึกษา แต่ก็มีงานวิจัยใหม่ ๆ มากมายที่บ่งชี้ว่าไมโครพลาสติกเชื่อมโยงกับปัญหาสุขภาพ งานวิจัยชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าไมโครพลาสติกสามารถทำให้การติดเชื้ออีโคไลเป็นอันตรายมากขึ้น และอาจทำให้เกิดความเสียหายต่อตับ นอกจากนี้ยังอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพลำไส้ของมนุษย์อีกด้วย
แน่นอนว่าเครื่องดื่มไม่ใช่เพียงสิ่งเดียวที่ทำให้ร่างกายได้รับไมโครพลาสติก บรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียวทิ้งและภาชนะใส่อาหารแบบซื้อกลับบ้านก็เป็นตัวการสำคัญเช่นกัน ไม่ต่างจากเขียงพลาสติก เครื่องครัวที่มีเทฟลอน และแม้แต่ภาชนะแก้วที่มีฝาปิดพลาสติก
สำหรับผู้บริโภค ผลการวิจัยนี้ไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อปลุกความตื่นตระหนกหรือกระตุ้นให้เลิกดื่มกาแฟตอนเช้า แต่เป็นเพียงการนำเสนอข้อมูลอีกด้านหนึ่ง และอาจกระตุ้นให้ผู้บริโภคเลือกใช้ภาชนะแก้วหรือโลหะ และหลีกเลี่ยงการสัมผัสพลาสติกกับความร้อนสูงเกินไป
ดังที่นักวิจัยเขียนสรุป นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการศึกษา แต่ถือเป็นก้าวสำคัญสู่ความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับขอบเขตของการสัมผัสกับไมโครพลาสติกในสถานการณ์จริง และสนับสนุนให้มีการศึกษาที่ครอบคลุมมากขึ้นเพื่อการประเมินความเสี่ยงที่แม่นยำของการบริโภค เพื่อประเมินความเสี่ยงของการบริโภคไมโครพลาสติกของสมาชิกรัฐสภาจากแหล่งที่มาของอาหารได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้สามารถดำเนินการแทรกแซงด้านสิ่งแวดล้อมและสาธารณสุขได้มากยิ่งขึ้น
ที่มา: Food And Wine, Independent







