‘ตัดไม้ทำลายป่า’ คร่าชีวิตคนครึ่งล้านในรอบ 20 ปี ป่าหายร่างกายร้อนขึ้น 3 °C

งานวิจัยใหม่เชื่อมโยงการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนกับการเสียชีวิตจากความร้อน 28,000 รายต่อปี โดยประชาชนรู้สึกร้อน เกิดความเครียดมากขึ้น
KEY
POINTS
- งานวิจัยชี้ว่าการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อนเป็นสาเหตุให้มีผู้เสียชีวิตจากความร้อนราวครึ่งล้านคนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
- การสูญเสียพื้นที่ป่าส่งผลให้ประชาชนกว่า 300 ล้านคนต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น โดยร่างกายอาจร้อนขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส
- ป่าไม้ช่วยควบคุมอุณหภูมิในท้องถิ่นผ่านกระบวนการคายน้ำ เมื่อต้นไม้ถูกตัดไปทำให้สภาพอากาศร้อนขึ้นทันทีและส่งผลกระทบต่อผู้คนโดยตรง
- การอนุรักษ์ป่าไม้จึงไม่เพียงเป็นนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นนโยบายด้านสุขภาพที่สามารถช่วยชีวิตผู้คนได้
งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Nature Climate Change พบว่า “การตัดไม้ทำลายป่า” ในเขตร้อน ทำให้เกิด “ภาวะโลกร้อน” รุนแรงขึ้น จนส่งผลให้ผู้คนมากกว่า 300 ล้านคนต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น และมีประชาชนเสียชีวิตจากความร้อนประมาณ 28,000 รายในแต่ละปี หรือประมาณครึ่งล้านคนในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา
การทำลายป่าในพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่นส่งผลกระทบรุนแรงเป็นพิเศษ ประชากรราว 48 ล้านคนในอินโดนีเซีย 42 ล้านคนในสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และ 21 ล้านคนในบราซิล กำลังเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นซึ่งเชื่อมโยงกับการสูญเสียพื้นที่ป่า ร่างกายของพวกเขามีอุณหภูมิสูงขึ้นถึง 3 องศาเซลเซียส
การศึกษานี้นำโดย ดร.คาร์ลี เรดดิงตัน และ ศ.โดมินิก สแพร็กเลน จากมหาวิทยาลัยลีดส์ ได้วิเคราะห์การตัดไม้ทำลายป่าในอเมริกากลางและอเมริกาใต้ แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พบว่าการตัดไม้ทำลายป่าในเขตร้อน ทำให้ประชาชนกว่า 300 ล้านคนต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้น เนื่องจากอุณหภูมิเพิ่มสูงขึ้น ความชื้นและกักเก็บคาร์บอนได้น้อยลง
งานวิจัยก่อนหน้านี้แสดงให้เห็นว่าการตัดไม้และการเผาต้นไม้ก่อให้เกิดภาวะโลกร้อนในระยะยาว แต่งานวิจัยฉบับใหม่นี้เป็นงานวิจัยแรกที่คำนวณจำนวนผู้เสียชีวิตที่ตามมา
สำหรับพื้นที่ที่ป่าเขตร้อนถูกทำลาย พบว่ามากกว่าหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากความร้อนเกิดขึ้นจากการตัดไม้ทำลายป่า และผลกระทบเกิดขึ้นเกือบจะทันที ภายในไม่กี่วันหลังจากที่พื้นที่ป่าถูกแผ้วถาง
ศ.สแพร็กเลนอธิบายว่า ป่าไม้ช่วยให้สภาพอากาศในท้องถิ่นเย็นลง จาก “กระบวนการคายน้ำ” ซึ่งเป็นการที่ต้นไม้สูบน้ำจากดินขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ เมื่อน้ำระเหยไป จะทำให้สภาพอากาศในท้องถิ่นเย็นลง กระบวนการนี้คล้ายกับการขับเหงื่อของร่างกายในวันที่อากาศร้อน เมื่อเหงื่อระเหยไป ผิวหนังก็จะเย็นลง
เช่นเดียวกัน เมื่อตัดต้นไม้ กระบวนการคายน้ำก็หายไป ทำให้สภาพอากาศในท้องถิ่นก็จะอบอุ่นขึ้น ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้เคียงจะเริ่มรู้สึกว่าอากาศร้อนขึ้นในทันที
รายงานจากสถาบันทรัพยากรโลก (WRI) และ Google DeepMind พบว่า ระหว่างปี 2001-2024 โลกสูญเสียพื้นที่ป่าไป 34% หรือประมาณ 1,106 ล้านไร่ อย่างถาวร เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้ไม่น่าจะฟื้นตัวได้เองตามธรรมชาติ
การคงสภาพป่าให้สมบูรณ์จะช่วยชีวิตผู้คนและเพิ่มผลผลิตทางการเกษตรได้ ศ.สแพร็กเลนกล่าวว่าหากแต่ละพื้นที่สามารถรักษาผืนป่าให้คงอยู่ได้ ผู้คนที่นั่นก็จะเผชิญกับความเครียดจากความร้อนน้อยลง
“ป่าไม้เป็นประโยชน์โดยตรงต่อชุมชนท้องถิ่น ช่วยควบคุมอุณหภูมิ นำพาฝนมาสู่พื้นที่เพาะปลูก และเป็นแหล่งผลิตทางการเกษตรที่ผู้คนพึ่งพาอาศัย ป่าไม้เหล่านี้ไม่ได้ถูกใช้งานอยู่เฉย ๆ แต่กำลังทำงานอย่างหนักและทำสิ่งที่สำคัญมากสำหรับเรา” ศ.สแพร็กเลนกล่าว
งานวิจัยนี้ แสดงให้เห็นว่าการสูญเสียพื้นที่ป่าไม่ได้เป็นเพียงปัญหาสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นตัวการสำคัญที่คร่าชีวิตผู้คนโดยตรง การอนุรักษ์ป่าไม้ไม่ได้เป็นเพียงนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม แต่เป็นนโยบายด้านสุขภาพ การปกป้องป่าไม้จึงหมายถึงการช่วยชีวิตผู้คน การคุ้มครองป่าไม้สามารถป้องกันการเกิดคลื่นความร้อนรุนแรงในภูมิภาคเขตร้อนที่เปราะบางได้
ผลกระทบร้ายแรงจากการสูญเสียพื้นที่ป่าในปัจจุบันสามารถวัดผลได้ ทั้งในระดับมนุษย์และระดับท้องถิ่น ไม่ใช่เรื่องนามธรรมหรือห่างไกลอีกต่อไป ดังที่ ศ.สแพร็กเลนได้เตือนไว้ว่า “การตัดไม้ทำลายป่าคร่าชีวิตผู้คน”
ที่มา: Euro News, The Guardian, WION







