ภัย 'น้ำ' คร่าชีวิตคนในโลกมากที่สุดรอบ 50 ปี น้ำท่วมใหญ่ 2554 ยังฝังใจคนไทย

ภัย 'น้ำ' คร่าชีวิตคนในโลกมากที่สุดรอบ 50 ปี น้ำท่วมใหญ่ 2554 ยังฝังใจคนไทย

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น น้ำท่วม พายุ และภัยแล้ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติมากที่สุดในโลก คิดเป็นเกือบ 70% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด

KEY

POINTS

  • ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ เช่น น้ำท่วม พายุ และภัยแล้ง เป็นสาเหตุการเสียชีวิตจากภัยธรรมชาติมากที่สุดในโลก คิดเป็นเกือบ 70% ของผู้เสียชีวิตทั้งหมด
  • เหตุการณ์มหาอุทกภัยในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2554 ถือเป็นหนึ่งในภัยพิบัติน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงที่สุดในโลก (1.44 ล้านล้านบาท) และมีผู้เสียชีวิตกว่า 815 คน
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ภัยพิบัติทางน้ำเกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น โดยส่งผลกระทบอย่างหนักต่อประเทศรายได้น้อยที่ขาดโครงสร้างพื้นฐานและระบบเตือนภัยที่มีประสิทธิภาพ
  • มีการผลักดันให้ใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ เช่น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อพัฒนาระบบเตือนภัยล่วงหน้าและช่วยให้ประเทศต่างๆ เตรียมพร้อมรับมือกับภัยพิบัติทางน้ำได้ดียิ่งขึ้น

ในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา เกือบ 70% ของผู้เสียชีวิตจาก “ภัยธรรมชาติ” ทั้งหมด เกี่ยวข้องกับน้ำ ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วม พายุ หรือแม้แต่ภัยแล้ง ตัวเลขนี้มีแหล่งข้อมูลอ้างอิงจากองค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) และองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (World Meteorological Organization: WMO) ใน Atlas of Mortality and Economic Losses from Weather, Climate and Water Extremes ระบุไว้อย่างชัดเจน

มีภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับอากาศและน้ำกว่า 11,000 เหตุการณ์ โดยภัยพิบัติน้ำที่คร่าชีวิตผู้คนมากที่สุดคือ ภัยแล้ง 650,000 คน พายุ 577,232 คน และน้ำท่วม 58,700 คน

ซึ่งชี้ให้เห็นว่าภัยพิบัติเกี่ยวข้องกับน้ำไม่ได้เป็นเรื่องเล็กๆ หรือเกิดเป็นครั้งคราวอีกต่อไป จำนวนภัยที่เกี่ยวกับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะช่วง 20 ปีที่ผ่านมา น้ำท่วมและพายุคิดเป็นถึง 71% ของภัยธรรมชาติทั้งหมด และแน่นอนว่าการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศก็ยิ่งทำให้เหตุการณ์เหล่านี้เกิดบ่อยและรุนแรงขึ้น

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2554 (2011) ประเทศไทยได้เผชิญกับมหาอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เริ่มจากฝนตกหนักต่อเนื่องและพายุหลายลูก น้ำเหนือหลากลงมาท่วมลุ่มเจ้าพระยาตั้งแต่เหนือจรดกลาง มีผู้เสียชีวิตกว่า 815 คน และราษฎรที่ได้รับผลกระทบมากถึง 12.8 ล้านคน โรงงานนิคมอุตสาหกรรม 7 แห่งถูกน้ำท่วมจนการผลิตหยุดชะงัก กระทบซัพพลายเชนโลก

ธนาคารโลกประเมินความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงถึง 1.44 ล้านล้านบาท ถือเป็นหนึ่งใน Top 5 ภัยพิบัติน้ำท่วมที่สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของโลก และยังเป็นบทเรียนราคาแพงที่สะท้อนว่า หากการบริหารจัดการน้ำยังไม่ก้าวทันสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนแปลง ภัยลักษณะนี้ก็อาจหวนกลับมาได้อีก

สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ ภาระจากภัยเหล่านี้ไม่ได้กระจายอย่างเท่าเทียม ประเทศที่มีรายได้น้อยหรือปานกลางซึ่งมักขาดโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแรงและระบบเตือนภัยล่วงหน้า มักจะเป็นผู้เสียชีวิตจำนวนมากที่สุด นอกจากนี้ ยังมีสาเหตุรองอีกมาก เช่น การขยายตัวของประชากรในพื้นที่เสี่ยง ขาดน้ำสะอาดและสุขาภิบาลหลังภัยพิบัติ รวมถึงการตกหนักของฝนและเหตุสุดวิสัยจากสภาพภูมิอากาศ

จากรายงานของ WMO ภัยพิบัติที่เกี่ยวกับน้ำไม่เพียงก่อให้เกิดความเสียหายต่อชีวิต แต่ยังกระทบต่อเศรษฐกิจด้วย เช่น ระหว่างปี 1970 ถึง 2019 น้ำท่วมก่อให้เกิดความเสียหายประมาณ 115 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ นอกจากนี้ ภัยน้ำยังสามารถเพิ่มความเสี่ยงต่อ โรคระบาดและติดเชื้อ ซึ่งมักเกิดตามมาหลังน้ำท่วมและภัยแล้ง

ดูเหมือนว่าไม่มีประเทศใดรอดพ้นจากภัยธรรมชาติเหล่านี้ ดังนั้น ควรต้องมีการลงทุนเพิ่มในการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศ หน่วยงาน IHP ขององค์การยูเนสโก (UNESCO) จึงกำลังเร่งผลักดันโครงการวิจัยน้ำและระบบเตือนภัยล่วงหน้าที่อาศัยปัญญาประดิษฐ์ เพื่อช่วยให้ประเทศต่างๆ เตรียมพร้อมและรับมือกับภัยน้ำได้ดียิ่งขึ้น ความพยายามเหล่านี้ไม่เพียงช่วยปกป้องชีวิตผู้คน แต่ยังเสริมสร้างความมั่นคงด้านน้ำในระยะยาว

ท้ายที่สุด ภัยพิบัติที่เกี่ยวข้องกับน้ำ ล้วนสะท้อนผลกระทบจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงไป การเตรียมพร้อมด้วยความร่วมมือระหว่างประเทศ การวิจัยเชิงวิทยาศาสตร์ และการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ จึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการปกป้องชีวิตและเศรษฐกิจ