‘ลาว’ เปิดตัว ‘ฟาร์มกังหันลม’ ใหญ่ที่สุดในอาเซียน ขายไฟฟ้าให้ ‘เวียดนาม’

ลาวเปิดตัวโครงการ “Monsoon Wind Power Project” นับเป็นฟาร์มกังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ต้นแบบความร่วมมือข้ามพรมแดนด้านพลังงานสะอาด
KEY
POINTS
- ลาวเปิดตัวโครงการ “Monsoon Wind Power Project” ฟาร์มกังหันลมบนบกขนาด 600 เมกะวัตต์ ซึ่งมีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
- โครงการนี้มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อผลิตไฟฟ้าส่งขายให้กับประเทศเวียดนาม (EVN) เพื่อช่วยแก้ปัญหาการขาดแคลนพลังงาน
- ถือเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนข้ามพรมแดนแห่งแรกของเอเชีย และเป็นต้นแบบของความร่วมมือด้านพลังงานสะอาดในภูมิภาค
ลาวเปิดตัวโครงการพลังงานลมแห่งแรกในชื่อ “Monsoon Wind Power Project” ขนาด 600 เมกะวัตต์ นับเป็นฟาร์มพลังงานลมบนบกที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเป็นโครงการพลังงานหมุนเวียนข้ามพรมแดนแห่งแรกของเอเชีย
โครงการนี้ยังมีวัตถุประสงค์ เพื่อช่วยเหลือประเทศเพื่อนบ้านอย่างเวียดนามในการแก้ไขปัญหาการขาดแคลนไฟฟ้าท่ามกลางการเติบโตทางเศรษฐกิจ ปัจจุบันได้เริ่มจ่ายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าเวียดนาม (EVN) แล้ว อีกทั้งฟาร์มกังหันลมแห่งใหม่นี้พร้อมที่จะเป็นต้นแบบของความร่วมมือข้ามพรมแดนด้านพลังงานสะอาดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ฟาร์มกังหันลมนี้มีมูลค่า 950 ล้านดอลลาร์ มีกังหันลมทั้งหมด 133 ตัว ครอบคลุมพื้นที่สองเมืองทางภาคใต้ ได้แก่ เมืองละมาม แขวงเซกอง และเมืองสานไชย แขวงอัตตะปือ ตั้งอยู่บนสันเขาสูงระหว่าง 1,100-1,700 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล โดยกังหันลมแต่ละตัวผลิตไฟฟ้าได้ 4.51 เมกะวัตต์ เพียงพอสำหรับครัวเรือนประมาณ 3,000-4,000 ครัวเรือน
ไฟฟ้าที่ผลิตได้ถูกส่งผ่านสถานีย่อยขนาด 115 กิโลโวลต์ 4 แห่ง ยกระดับเป็น 500 กิโลโวลต์ และส่งไปตามสายส่งไฟฟ้าแรงสูงระยะทาง 27 กิโลเมตร ไปยังชายแดนลาว-เวียดนาม จากนั้นส่งต่อไปยังสถานีย่อยถั่นหมี่ของ EVN ในเวียดนาม
โครงการที่ใช้เวลานานนับทศวรรษ
ลาวลงนามข้อตกลงกับสำนักงานพลังงานระหว่างประเทศในปี 2554 เพื่อศึกษาศักยภาพพลังงานลมขนาดใหญ่ จนพบว่าแขวงเซกองและแขวงอัตตะปือเป็นพื้นที่สำคัญสำหรับการพัฒนา ต่อมาในเดือนกันยายน 2562 รัฐบาลเวียดนามได้อนุมัติโครงการพลังงานลม พร้อมระบุว่าโครงการนี้สามารถเชื่อมต่อกับโครงข่ายไฟฟ้าในเวียดนามได้อย่างปลอดภัย
การก่อสร้างเริ่มต้นในเดือนเมษายน 2566 กังหันลมตัวแรกได้รับการติดตั้งในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน และภายในเดือนพฤษภาคม 2568 กังหันลมทั้งหมด 133 ตัวก็ได้รับการติดตั้งเรียบร้อยแล้ว
ในเดือนกรกฎาคม โรงไฟฟ้าพลังงานลมแห่งนี้ได้ดำเนินการผลิตอยู่ที่ 300 เมกะวัตต์ ประมาณครึ่งหนึ่งของทั้งหมด ตามคำกล่าวของนายขันติ สีละวงษา รองผู้ว่าราชการแขวงเซกอง
ตลอดอายุการใช้งาน 25 ปี โครงการนี้จะช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 32.5 ล้านตัน หรือประมาณ 1.3 ล้านตันต่อปี เทียบเท่ากับการกำจัดรถยนต์ 7 ล้านคันต่อปี หรือการปลูกต้นไม้ 59 ล้านต้น นับเป็นโครงการที่แสดงให้เห็นถึงความร่วมมือระดับภูมิภาคที่ไม่เคยมีมาก่อน โดยมีบริษัทจากประเทศไทย สิงคโปร์ และลาว มีส่วนร่วมในการพัฒนาและก่อสร้างโครงการนี้ รวมถึง BCPG บริษัทในเครือพลังงานหมุนเวียนของโรงกลั่นน้ำมันบางจากของไทย และมี Mitsubishi Corp. บริษัทการค้ารายใหญ่ของญี่ปุ่นร่วมลงทุน
“โครงการนี้ไม่เพียงแต่ส่งมอบพลังงานหมุนเวียนในวงกว้างเท่านั้น แต่ยังแสดงให้เห็นว่าประเทศสมาชิกอาเซียนสามารถร่วมมือกัน เพื่ออนาคตที่สะอาดและยั่งยืนยิ่งขึ้นได้อย่างไร” ณัฐ หุตานุวัตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท มอนซูน วินด์ พาวเวอร์ กล่าว
แหล่งเงินทุนประกอบด้วยธนาคารพัฒนาเอเชีย (Asian Development Bank) องค์การความร่วมมือระหว่างประเทศของญี่ปุ่น (Japan International Cooperation Agency) และบริษัท ซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Sumitomo Mitsui Banking Corp.) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ในประเทศญี่ปุ่น
ที่มา: Bloomberg, Laotian Times, Nikkei







