ไม่ใช่แค่รัฐบาล บริษัทสวีเดนชวนพนักงานช่วย 'ปกป้องธรรมชาติ สร้างเมืองน่าอยู่'

ไม่ใช่แค่รัฐบาล บริษัทสวีเดนชวนพนักงานช่วย 'ปกป้องธรรมชาติ สร้างเมืองน่าอยู่'

การอนุรักษ์ธรรมชาติไม่ใช่แค่หน้าที่ของภาครัฐอีกต่อไป แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ โดยเฉพาะภาคธุรกิจที่สามารถนำทรัพยากรและความเชี่ยวชาญมาสร้างการเปลี่ยนแปลงได้อย่างเป็นรูปธรรม

KEY

POINTS

  • บริษัท Ericsson ในสวีเดนจัดกิจกรรมให้พนักงานร่วมเป็นอาสาสมัครเพื่อฟื้นฟูระบบนิเวศในท้องถิ่นร่วมกับนักนิเวศวิทยา
  • กิจกรรมหลักเน้นการลงมือทำจริง เช่น การกำจัดพืชต่างถิ่นที่รุกรานอย่างต้นลูปิน เพื่อเปิดทางให้พืชพื้นเมืองกลับมาเติบโต
  • โครงการส่งผลให้พืชดั้งเดิมที่หายากกลับคืนสู่ทุ่งหญ้า และยังช่วยสร้างความตระหนักรู้ด้านสิ่งแวดล้อมให้กับพนักงานที่เข้าร่วม
  • ความร่วมมือนี้ถูกนำเสนอเป็นต้นแบบที่ภาคธุรกิจในประเทศอื่น รวมถึงไทย สามารถนำไปปรับใช้เพื่อมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติ

ในประเทศสวีเดน การอนุรักษ์ระบบนิเวศได้ก้าวข้ามกรอบเดิมๆ ด้วยความร่วมมือที่น่าสนใจโครงการนี้แสดงให้เห็นว่าการลงมือทำจริงและการใช้ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นฟูธรรมชาติอย่างไร อาสาสมัครของ Ericsson ได้เข้าร่วมกิจกรรมบำรุงรักษาระบบนิเวศหลายครั้งต่อปี โดยได้รับคำแนะนำอย่างใกล้ชิดจากคุณ Andersson เพื่อตอบสนองความต้องการตามฤดูกาล ตัวอย่างเช่น การถอนต้นสนที่รุกรานพื้นที่ต้นโอ๊กโบราณ หรือการกำจัดเฟิร์นที่ปกคลุมพื้นที่ และการติดตามประชากรของสิ่งมีชีวิตที่อยู่ในบัญชีแดง (Red-listed species)

หนึ่งในภารกิจสำคัญคือการกำจัด ต้นลูปิน (lupines) ซึ่งเป็นพืชต่างถิ่นที่คนนำเข้ามาเพื่อใช้เป็นไม้ประดับ แต่กลับส่งผลเสียต่อระบบนิเวศท้องถิ่น เพราะต้นลูปินจะไปเพิ่มสารอาหารในดิน ซึ่งส่งผลกระทบต่อทุ่งหญ้าที่อุดมสมบูรณ์ด้วยความหลากหลายทางชีวภาพและต้องการดินที่มีสารอาหารต่ำ การกำจัดต้นลูปินจึงช่วยให้พืชพื้นเมืองที่หายาก เช่น ดอกไม้ลมทุ่งหญ้า (meadow anemone) และหญ้าสั่น (quaking grass) สามารถกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง

ผลลัพธ์ที่จับต้องได้และแรงบันดาลใจใหม่ๆ

ความพยายามนี้ได้ส่งผลกระทบเชิงบวกอย่างชัดเจน หนึ่งในสัญญาณความสำเร็จที่เห็นได้ชัดคือการกลับมาของ หญ้าสั่นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นพืชดั้งเดิมของทุ่งหญ้าที่ต้องเติบโตในดินที่ยากจนด้วยสารอาหาร นอกจากนี้ การเก็บกิ่งไม้ที่ถูกตัดแต่งก็กลายเป็นแหล่งอาศัยขนาดเล็ก (microhabitats) ที่สำคัญสำหรับนกและแมลงบางชนิด

สำหรับพนักงานที่เข้าร่วม กิจกรรมนี้ไม่ได้เป็นเพียงการบำเพ็ญประโยชน์ แต่ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ ซึ่งต้นไม้ต้นเดียวส่งผลต่อทั้งระบบนิเวศอย่างไร ก็เริ่มมองเห็นป่าในมุมที่ต่างออกไป

กิจกรรมเหล่านี้กลายเป็นเวทีให้ความรู้ด้านสิ่งแวดล้อมนอกห้องเรียน พนักงานได้เรียนรู้เรื่องเห็ดหายาก ความหลากหลายของแมลง และความสำคัญของต้นไม้ใหญ่ที่มีอายุมากในฐานะระบบนิเวศขนาดเล็ก การได้ลงมือทำจริงไม่เพียงช่วยเพิ่มความเข้าใจด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังช่วยเสริมสร้างความสัมพันธ์ในทีมและกับชุมชนท้องถิ่นอีกด้วย

โมเดลที่ต่อยอดได้ทั่วโลก

ข้อมูลจาก World Economic Forum ได้สนุนเป้าหมายในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกต้นไม้ให้ได้หนึ่งล้านล้านต้นภายในปี 2030

ความร่วมมือในสวีเดนนี้แสดงให้เห็นว่าภาคธุรกิจสามารถสร้างผลกระทบเชิงบวกในระดับท้องถิ่นได้อย่างมีความหมาย ขณะเดียวกันก็ได้รับความเข้าใจเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับความยั่งยืนด้วย

“ถ้าบริษัทอื่นๆ สามารถออกมาทำงานแบบเดียวกับนักวิทยาศาสตร์ พวกเขาจะเข้าใจว่าสิ่งนี้สำคัญแค่ไหนสำหรับเราและคนรุ่นต่อไป”

การเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงไม่จำเป็นต้องเริ่มจากโครงการใหญ่ระดับโลกเสมอไป แต่สามารถเริ่มได้จากสิ่งใกล้ตัว จากการลงมือทำในพื้นที่ของเราเอง ด้วยความร่วมมือระหว่างทุกภาคส่วน เพราะการปกป้องธรรมชาติไม่ใช่แค่หน้าที่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นความรับผิดชอบร่วมกันที่เราทุกคนต้องช่วยกันลงมือทำ

บทเรียนสำหรับประเทศไทย

โครงการความร่วมมือระหว่าง Ericsson และนักนิเวศวิทยาในสวีเดนนี้ สามารถเป็นต้นแบบที่นำมาปรับใช้ในประเทศไทยได้เป็นอย่างดี เนื่องจากประเทศไทยมีความหลากหลายทางชีวภาพที่สูง แต่ก็กำลังเผชิญกับปัญหาการสูญเสียพื้นที่ป่าและความเสื่อมโทรมของระบบนิเวศไม่ต่างกัน ข้อมูลจากรายงานของธนาคารโลก (World Bank) ระบุว่าพื้นที่ป่าในประเทศไทยลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แม้จะมีนโยบายฟื้นฟูป่าอย่างต่อเนื่องก็ตาม[^1]

ภาคธุรกิจในประเทศไทยหลายแห่งเริ่มให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและสิ่งแวดล้อมมากขึ้น โดยสามารถนำแนวทางนี้ไปประยุกต์ใช้ได้ในหลายรูปแบบ เช่น:

  1. ความร่วมมือกับภาครัฐและนักวิชาการ: บริษัทสามารถจับมือกับกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือสถาบันการศึกษา เพื่อจัดกิจกรรมฟื้นฟูพื้นที่ป่าชายเลน ปลูกป่าต้นน้ำ หรือกำจัดพืชต่างถิ่นที่รุกราน เช่น ไมยราบยักษ์ ที่สร้างปัญหาในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
  2. การสนับสนุนโครงการวิจัย: สนับสนุนทุนวิจัยเพื่อศึกษาผลกระทบของกิจกรรมทางเศรษฐกิจต่อระบบนิเวศ และหาวิธีการแก้ไขที่เหมาะสม
  3. การสร้างจิตสำนึกในองค์กร: จัดกิจกรรมให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความผูกพันและแรงบันดาลใจในการเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อม

 

การผนึกกำลังจากทุกภาคส่วนจะช่วยให้ประเทศไทยสามารถฟื้นฟูและรักษาทรัพยากรธรรมชาติได้อย่างยั่งยืน และเตรียมพร้อมรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศและความหลากหลายทางชีวภาพที่กำลังทวีความรุนแรงขึ้นในปัจจุบัน

 

ที่มา :  The World Bank  , Forest area