แนะไทยปลดล็อกศักยภาพ“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน” ในเวทีเจ้าภาพเวิล์ดแบงค์-ไอเอ็มเอฟปี69

แนะไทยปลดล็อกศักยภาพ“เศรษฐกิจสีน้ำเงิน”  ในเวทีเจ้าภาพเวิล์ดแบงค์-ไอเอ็มเอฟปี69

ประเทศไทยมีจังหวัดตามแนวชายฝั่งทะเลถึง23จังหวัด และมีแนวชายฝั่งทะเลยาวกว่า3,000กิโลเมตรตลอดจนทรัพยากรธรรมชาติทางทะเลที่หลากหลาย ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อเศรษฐกิจ โดยคิดเป็นเกือบ30%ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ(GDP)และมีสัดส่วนประมาณ26%ของการจ้างงาน

อย่างไรก็ตาม จากรายงานInnovative Blue Financing Solutions in Thailandล่าสุดโดยธนาคารโลก พบว่า ทรัพยากรเหล่านี้กำลังเผชิญกับแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นจากการกัดเซาะชายฝั่ง การรั่วไหลของมลพิษ การใช้ทรัพยากรเกินขนาด รวมถึงการขาดแคลนเงินทุน         เนื่องจากในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา แนวชายฝั่งของประเทศประมาณ30%ได้รับผลกระทบจากการกัดเซาะ ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียทางเศรษฐกิจมูลค่ารวมกว่า1.3พันล้านดอลลาร์ 

ดังนั้นประเทศไทยกำลังเร่งผลักดันในการปลดล็อกศักยภาพของเศรษฐกิจสีน้ำเงินอย่างเต็มที่ โดยได้รับการสนับสนุนทางเทคนิคอย่างแข็งแกร่งจากธนาคารโลก(เวิล์ดแบงค์) ซึ่งรวมถึงแผนการออกพันธบัตรสีน้ำเงินของรัฐบาลฉบับแรกของประเทศ เพื่อระดมเงินทุนสำหรับการพัฒนากิจกรรมที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจทางทะเลและชายฝั่งอย่างยั่งยืน

รายงานข่าวแจ้งว่า สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ ได้ออกพันธบัตรสีเขียว (green bond) พันธบัตรเพื่อสังคม (social bond) และพันธบัตรเพื่อความเพื่อความยั่งยืน (sustainability bond) เพื่อผลักดันประเทศไทยให้บรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน 

ส่วนพันธบัตรสีน้ำเงิน คือ ตราสารหนี้ที่ออกจำหน่ายเพื่อระดมทุนสนับสนุนการดำเนินงานและนโยบายของรัฐบาลให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนที่เกี่ยวข้องกับมหาสมุทร ทะเล และทรัพยากรทางทะเล ซึ่งไทยกำลังอยู่ระหว่างการศึกษาการออกพันธบัตรในรูปแบบดังกล่าว 

อย่างไรก็ตาม รายงานInnovative Blue Financing Solutions in Thailand  ระบุอีกว่า พันธบัตรสีน้ำเงิน(Blue Bonds)เป็นเครื่องมือที่มีศักยภาพสำหรับประเทศไทย โดยได้รับแรงผลักดันจากความสนใจของนักลงทุนที่เพิ่มขึ้นและแรงขับเคลื่อนด้านนโยบายที่แข็งแกร่ง โดย ณ ปี2022มูลค่ารวมของพันธบัตรสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (ESG)ที่หมุนเวียนอยู่ในประเทศไทยมีมูลค่าถึง659พันล้านบาท (20.3พันล้านดอลลาร์) ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้ากว่า35%

เมลินดา กู้ด ผู้อำนวยการธนาคารโลกประจำประเทศไทยและเมียนมา ได้แสดงวิสัยทัศน์ว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ระหว่างเตรียมการเพื่อเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมประจำปีของกลุ่มธนาคารโลกและกองทุนการเงินระหว่างประเทศ(World Bank Group–IMF Annual Meetings)ในเดือนต.ค.2026จึงถือเป็นโอกาสสำคัญสำหรับประเทศไทยที่จะแสดงศักยภาพด้านความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรทางทะเลและความเป็นผู้นำในด้านนวัตกรรมเศรษฐกิจสีน้ำเงินต่อเวทีโลก 

"เรามีความภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนวิสัยทัศน์ของรัฐบาลไทยในการขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืนซึ่งมุ่งเน้นการสร้างความมั่งคงและประโยชน์ระยะยาวทั้งในเชิงความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อมโดยผ่านการสร้างงานและวิถีการดำรงชีวิตในรูปแบบใหม่ ที่เอื้อต่อการอนุรักษ์งระบบนิเวศทางทะเลของประเทศสำหรับคนรุ่นต่อไป”

ทั้งนี้ ธนาคารโลก ร่วมกับสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.)และกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้มีความร่วมมือกันมาโดยตลอดในการพัฒนากรอบการวางแผนพื้นที่ทางทะเลระดับประเทศ(Marine Spatial Planning: MSP)ผ่านการให้ความช่วยเหลือเชิงวิชาการในด้านเศรษฐกิจสีน้ำเงิน โดยได้รับการสนับสนุนจากกองทุนPROBLUEซึ่งเป็นกองทุนให้เปล่าจากประเทศที่พัฒนาแล้วเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแบบบูรณาการอย่างยั่งยืนภายใต้ระบบนิเวศทางทะเลที่สมบูรณ์ 

กรอบแนวทางดังกล่าวมีเป้าหมายในการประเมินสภาพปัจจุบัน การออกแบบแนวทางการแก้ไขความขัดแย้งในการใช้ทรัพยากร รวมถึงการออกแบบนโยบายโดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน และประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการจัดการพื้นที่ทางทะเลและชายฝั่งแบบบูรณาการ โดยกรอบแนวทางนี้จะเป็นเครื่องมือสำคัญในการกำหนดทิศทางการลงทุนของภาครัฐและเอกชนในอนาคต โดยมุ่งเน้นการเติบโตทางเศรษฐกิจควบคู่ไปกับความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม

ธนาคารโลกยังได้หารือร่วมกับสบน.เกี่ยวกับแนวทางการลงทุนเชิงนวัตกรรมเพื่อเติมเพื่อสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเล (Blue Economy)ของประเทศไทยโดยครอบคลุมการให้ความช่วยเหลือทางวิชาการและการลงทุนที่มุ่งเน้นไปที่การป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งและการฟื้นฟูป่าชายเลน ผ่านการจัดการที่อาศัยธรรมชาติเป็นพื้นฐาน(Nature-based Solution: NbS);การส่งเสริมการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน;และการพัฒนาบัญชีมหาสมุทรของประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการวางแผนพื้นที่ทางทะเลโดยใช้ข้อมูลเป็นฐาน และส่งเสริมการลงทุนในเศรษฐกิจทางทะเลอย่างมีประสิทธิภาพ

ในขณะเดียวกัน ธนาคารโลกยังได้สนับสนุน โครงการเมืองคาร์บอนต่ำ (Low Carbon Cities: LCC)ของประเทศไทย ซึ่งมีเป้าหมายในการช่วยให้เมืองต่าง ๆ ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและส่งเสริมการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานสีเขียว ภายใต้ ซึ่งการฟื้นฟูป่าชายเลนเพื่อป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งนั้นยังสามารถนำไปสู่การสร้างเครดิตคาร์บอนสีน้ำเงินโดยเชื่อมโยงกับกลไกภายใต้โครงการLCCเพื่อลดการพึ่งพางบประมาณภาครัฐ และถือเป็นเปิดโอกาสให้ภาคเอกชนเข้ามามีบทบาทในการลงทุนเพื่อขยายกลไลการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืนอีกด้วย

โครงการลงทุนและแนวทางต่างๆ เหล่านี้ สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการพัฒนาเศรษฐกิจทางทะเลที่ยั่งยืน(Sustainable Ocean-Based Development)โดยสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและเศรษฐกิจในระยะยาวของประเทศ