อันดับจังหวัดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด กทม.–ชลบุรี นำโด่ง เพชรบุรีน้อยสุด

อันดับจังหวัดปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด กทม.–ชลบุรี นำโด่ง เพชรบุรีน้อยสุด

กทม. และชลบุรี เป็นสองจังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในประเทศ ตามด้วยสระบุรี ระยอง และสมุทรปราการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม

KEY

POINTS

  • กรุงเทพฯ และชลบุรี เป็นสองจังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุดในประเทศ ตามด้วยสระบุรี ระยอง และสมุทรปราการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม
  • สาเหตุหลักของการปล่อยก๊าซปริมาณมากมาจากภาคพลังงาน การขนส่ง และกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมหนัก เช่น ปิโตรเคมีและปูนซีเมนต์
  • เพชรบุรีเป็นจังหวัดที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยที่สุด โดยสามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่าที่ปล่อยออกมา เนื่องจากมีพื้นที่ป่าไม้สมบูรณ์ โดยเฉพาะกลุ่มป่าแก่งกระจาน

ประเทศไทยได้ประกาศเป้าหมายมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero) ภายในปี 2065 ซึ่งไม่ใช่เพียงเป้าหมายระดับประเทศ แต่ยังเป็นภารกิจสำคัญสำหรับแต่ละจังหวัดในประเทศไทย เพราะแต่ละพื้นที่มีบทบาทเฉพาะตัวในการปล่อยและกักเก็บก๊าซเรือนกระจก การลดการปล่อยก๊าซในระดับจังหวัดจะช่วยสร้างความยั่งยืนให้กับชุมชน สภาพแวดล้อม และเศรษฐกิจท้องถิ่น

ถือเป็นภารกิจที่ท้าทาย หากแต่ละจังหวัดยังมีตัวเลขปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO₂) จำนวนมาก โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดที่เป็นฐานอุตสาหกรรมขนาดใหญ่

โดยจากรายงานความก้าวหน้ารายสองปี (Biennial Update Report: BUR) ฉบับที่ 4 เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2022 ที่ไทยรายงานต่อสำนักเลขาธิการ UNFCCC ภายใต้ความตกลงปารีส (Paris Agreement) แสดงข้อมูลภาพรวมปี 2019

พบว่าแนวโน้มประเทศไทยการปล่อยยังคงเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ได้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิสูงถึง 280,728.34 กิกะกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (GgCO₂eq) หรือคิดเป็นประมาณ 280.73 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂eq) คิดเป็นสัดส่วนราว 0.7% ของการปล่อยทั้งหมดในโลก

32 จังหวัด มีเป้าหมาย Net Zero

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. (TGO) มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือระดับท้องถิ่นและจังหวัด เพื่อให้การลดก๊าซเรือนกระจกเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม

โดยในปีงบประมาณ 2566–2567 อบก. ได้รับการสนับสนุนจากกองทุนสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ดำเนินโครงการ “การพัฒนาศักยภาพสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด เพื่อพัฒนาแผนงานด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับจังหวัด”

เป้าหมายของโครงการนี้คือให้แต่ละจังหวัดสามารถจัดทำ ข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และกำหนด แผนการลดก๊าซเรือนกระจก ของตนเองได้อย่างชัดเจน พร้อมทั้งบูรณาการการปรับตัวต่อสภาพภูมิอากาศในระดับพื้นที่

โครงการดังกล่าวประกอบด้วย 4 แผนงานหลัก ได้แก่

  • การจัดทำฐานข้อมูลก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด
  • การจัดทำแผนการปรับตัวต่อความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ
  • การพัฒนาศักยภาพบุคลากรสำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัด (ทสจ.)
  • การพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อสนับสนุนการรายงานข้อมูลระดับจังหวัด

ผลลัพธ์คือปัจจุบันทั้ง 76 จังหวัดมีข้อมูลและแผนการลดก๊าซเรือนกระจกที่เสร็จสมบูรณ์แล้ว และในปีงบประมาณ 2568 ยังมีการขยายผลให้มีจังหวัดที่ตั้งเป้าหมาย Net Zero เพิ่มอีก 15 จังหวัด ทำให้ขณะนี้ประเทศไทยมีจังหวัดที่ประกาศเป้าหมาย Net Zero รวมแล้วถึง 32 จังหวัด

5 จังหวัด ปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงสุด

จากการข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของทั้ง 77 จังหวัด พบว่า 5 จังหวัดต่อไปนี้เป็นพื้นที่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ซึ่งส่วนใหญ่มีลักษณะเป็นเมืองอุตสาหกรรมและศูนย์กลางเศรษฐกิจ

  • อันดับ 1 กทม. – มากกว่า 40 ล้านตัน CO₂e/ปี

ใช้ปีฐาน พ.ศ. 2556 (ภายใต้โครงการพัฒนาแนวทางลดก๊าซเรือนกระจกระดับจังหวัด) พบว่ามีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 40 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y) โดยกรุงเทพฯ มีประชากรกว่า 5.4 ล้านคน และหากนับรวมประชากรแฝงที่เข้ามาทำงานและอยู่อาศัยรวมแล้วกว่า 10 ล้านคน ยิ่งทำให้เกิดกิจกรรมการผลิตและการบริโภคที่ส่งผลต่อการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูง โดยเฉพาะจากภาคพลังงานและการขนส่ง ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนเกินกว่า 80% ของการปล่อยทั้งหมด

  • อันดับ 2 ชลบุรี – มากกว่า 24 ล้านตัน CO₂e/ปี

จังหวัดศูนย์กลางด้านอุตสาหกรรมและการท่องเที่ยว เป็นหนึ่งในหัวใจหลักของระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่มีการกระจุกตัวของนิคมอุตสาหกรรมจำนวนมาก ส่งผลให้ชลบุรีมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 24 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)

  • อันดับ 3 สระบุรี – มากกว่า 22 ล้านตัน CO₂e/ปี

ได้ชื่อว่าเป็นเมือง “โรงปูน” ของประเทศ เนื่องจากเป็นแหล่งผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดของไทย กระบวนการเผาหินปูนเพื่อผลิตปูนซีเมนต์ต้องใช้พลังงานมหาศาลและยังปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์โดยตรงจากปฏิกิริยาเคมี (process emissions) ร่วมกับการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิลจำนวนมาก ทำให้สระบุรีมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากกว่า 22 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)

  • อันดับ 4 ระยอง – มากกว่า 18 ล้านตัน CO₂e/ปี

ถือเป็นอาณาจักรปิโตรเคมีของประเทศไทย โดยเฉพาะนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ซึ่งเป็นที่ตั้งของโรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซ และโรงงานเคมีขนาดใหญ่ ส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับสูงจากกระบวนการเผาไหม้เชื้อเพลิงและปฏิกิริยาเคมีต่าง ๆ รวมแล้วมีปริมาณมากกว่า 18 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)

  • อันดับ 5 สมุทรปราการ – มากกว่า 14 ล้านตัน CO₂e/ปี

เมืองอุตสาหกรรมหนักริมชายฝั่งที่มีความหลากหลายของอุตสาหกรรม ตั้งแต่เหล็กกล้า อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงโรงงานเคมีขนาดใหญ่ อีกทั้งยังอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ทำให้มีทั้งโรงงานและประชากรอาศัยอย่างหนาแน่น กิจกรรมด้านการขนส่ง การใช้พลังงานในอาคาร และการจราจร ล้วนส่งผลให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจำนวนมาก รวมแล้วมีปริมาณการปล่อยมากกว่า 14 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่าต่อปี (MtCO₂e/y)

5 จังหวัด ปล่อยก๊าซเรือนกระจกน้อยสุด

ในทางกลับกัน มีจังหวัดที่มีศักยภาพสูงในการดูดซับและกักเก็บคาร์บอนจากผืนป่าและการใช้ประโยชน์ที่ดิน ซึ่งบางแห่งสามารถบรรลุ Net Zero ได้แล้ว ดังนี้

  • เพชรบุรี – กักเก็บคาร์บอนได้ราว 16.4 ล้านตัน CO₂e

เพชรบุรีมีพื้นที่ป่าราว 64% ของพื้นที่จังหวัด โดยเฉพาะป่าแก่งกระจานซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมรดกโลกทางธรรมชาติ “กลุ่มป่าแก่งกระจาน” ครอบคลุมกว่า 2.4 ล้านไร่ ทำหน้าที่เป็น “ปอดของประเทศ” โดยคาดการณ์ว่าสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากถึง 16.4 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

  • กาญจนบุรี – กักเก็บคาร์บอนได้ราว 5.86 ล้านตัน CO₂e

กาญจนบุรีมีพื้นที่ป่าราว 67% หรือประมาณ 5.8 ล้านไร่ ครอบคลุมผืนป่าตะวันตกที่อุดมสมบูรณ์ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผืนป่าแห่งนี้สามารถดูดซับและกักเก็บคาร์บอนได้ราว 5.86 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

  • น่าน – กักเก็บคาร์บอนได้ราว 4.96 ล้านตัน CO₂e

แม้น่านเคยเผชิญปัญหาการบุกรุกป่าเพื่อปลูกข้าวโพดอย่างหนักในอดีต แต่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีความพยายามฟื้นฟูป่าอย่างจริงจังจนพื้นที่ป่าปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็นราว 60% หรือประมาณ 4.2 ล้านไร่ ส่งผลให้น่านสามารถลดและดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้กว่า 4.96 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

  • แม่ฮ่องสอน – กักเก็บคาร์บอนได้ราว 4.92 ล้านตัน CO₂e

แม่ฮ่องสอนเป็นจังหวัดที่มี พื้นที่ป่ามากที่สุดในประเทศไทย คิดเป็น 85% หรือราว 7.3 ล้านไร่ แต่ป่ากว่า 40% อยู่ในสภาพเสื่อมโทรม จากการบุกรุกเพื่อทำเกษตรและไฟป่าซ้ำซาก อย่างไรก็ดี หากสามารถฟื้นฟูป่าได้อย่างต่อเนื่อง พื้นที่ป่าของแม่ฮ่องสอนสามารถดูดซับและกักเก็บก๊าซคาร์บอนได้มากกว่า 4.92 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

  • เชียงใหม่ – กักเก็บคาร์บอนได้ราว 3.94 ล้านตัน CO₂e

เชียงใหม่มีพื้นที่ป่าประมาณ 60% ครอบคลุมทั้งป่าธรรมชาติในอุทยานแห่งชาติ เช่น ดอยอินทนนท์ และป่าชุมชนรอบพื้นที่เกษตร มีศักยภาพในการกักเก็บคาร์บอนได้มากกว่า 3.94 ล้านตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า (MtCO₂e)

ความท้าทายสู่ Net Zero ของประเทศ

แม้ผืนป่าทั่วประเทศสามารถดูดซับก๊าซเรือนกระจกได้รวม 91 ล้านตัน CO₂e แต่ยังไม่เพียงพอที่จะบรรลุเป้าหมาย Net Zero ของประเทศที่ตั้งไว้ 120 ล้านตัน CO₂e ดังนั้นการแก้ปัญหาจำเป็นต้องใช้แนวทางที่เจาะจงกับบริบทของแต่ละจังหวัด ทั้งการปรับอุตสาหกรรมไปสู่พลังงานหมุนเวียน การส่งเสริมการปลูกป่าและการเกษตรคาร์บอนต่ำ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้พลังงานในเมืองใหญ่

หากประเทศไทยต้องการบรรลุ Net Zero ในอีก 40 ปีข้างหน้า จังหวัดที่ปล่อยก๊าซสูงทั้งหลายจะต้องเป็น “แนวหน้า” ในการปรับตัวและเปลี่ยนแปลง เพื่อให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความยั่งยืนร่วมกัน