กฎหมายขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (ตอนที่ 1)

ในบทความฉบับวันที่ 21 พ.ย.2567 ผู้เขียนได้กล่าวถึง มาตรการที่นานาประเทศนำมาปรับใช้เพื่อการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือสภาวะโลกร้อน
ได้แก่ 1) มาตรการรักษาสิ่งแวดล้อมที่ไม่ซับซ้อน เช่น การปลูกต้นไม้ในเขตป่าเสื่อมโทรม การคัดแยกขยะและนำกลับมาใช้ซ้ำ เป็นต้น
2) มาตรการจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการกิจกรรมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนต่อการปล่อยมลพิษหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น ค่าธรรมเนียมการจัดเก็บค่าขยะ น้ำเสีย หรือการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตรถยนต์จากปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
อีกทั้งยังประกอบด้วย 3) มาตรการซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์หรือใบอนุญาตการปล่อยมลพิษในตลาดคาร์บอนในหลายประเทศ
4) มาตรการให้เงินอุดหนุนการจัดทำโครงการต่าง ๆ เช่น การให้เงินสนับสนุนปรับเปลี่ยนเครื่องจักรอุปกรณ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม หรือการจัดทำระบบโซล่าเซลล์ในบ้านเรือนพักอาศัย เป็นต้น และ
5) มาตรการเสริมสร้างจิตสำนึกที่ดีต่อสิ่งแวดล้อมขององค์กร เช่น นโยบายการลดการใช้พลังงานไฟฟ้าขององค์กรต่าง ๆ เป็นต้น
เครื่องมือประการหนึ่งที่จะช่วยขับเคลื่อนมาตรการต่างๆ ข้างต้น คือ ตัวบทกฎหมายที่เกี่ยวข้องซึ่งมีเจตนารมณ์ในการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือสภาวะโลกร้อน
ปัจจุบันนี้ประเทศไทยมีกฎหมายจำนวนหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศหรือสภาวะโลกร้อน ซึ่งสามารถจำแนกได้ดังนี้
1) กฎหมายที่มีเป้าหมายเพื่อควบคุม กำกับดูแลและกำหนดความรับผิดของการกระทำใด ๆ ของบุคคลหรือองค์ที่มีส่วนต่อการปล่อยมลพิษประเภทหรือชนิดต่างๆ สู่สิ่งแวดล้อม
เช่น พ.ร.บ.ส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 ที่กำหนดนโยบายและกลไกในการจัดการคุณภาพสิ่งแวดล้อมของประเทศอย่างเป็นระบบ กำหนดมาตรฐานคุณภาพสิ่งแวดล้อม มุ่งเน้นการป้องกันปัญหาสิ่งแวดล้อมควบคู่ไปกับการแก้ไขฟื้นฟู
ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน และกำหนดความรับผิดชอบของผู้ก่อมลพิษตามหลักการผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) โดยเจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดมลพิษมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้น รวมทั้งมีหน้าที่ในการบำบัดหรือฟื้นฟูสภาพแวดล้อมให้กลับสู่สภาพเดิม
หรือ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายที่มีเจตนารมณ์เพื่อควบคุมการผลิต การนำเข้า การส่งออก และการมีไว้ในครอบครองซึ่งวัตถุอันตราย
เพื่อป้องกันปัญหามลพิษที่อาจเกิดจากการจัดการที่ไม่เหมาะสม และมีการกำหนดความรับผิดทางอาญา เช่น การประกอบกิจการโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นต้น
ความรับผิดทางแพ่งเมื่อเกิดความเสียหายต่อชีวิต ร่างกาย สุขภาพ อนามัย หรือทรัพย์สินของบุคคลอื่น อันเนื่องมาจากการประกอบกิจการเกี่ยวกับวัตถุอันตรายในลักษณะความรับผิดโดยสิ้นเชิง (Strict Liability) และความรับผิดทางปกครอง เพื่อควบคุมและป้องกันอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการประกอบกิจการเกี่ยวกับวัตถุอันตราย
2) กฎหมายจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการกิจกรรม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนต่อการปล่อยมลพิษหรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เช่น พ.ร.บ.สภาตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบล พ.ศ. 2537
พ.ร.บ.การสาธารณสุข พ.ศ. 2535 และ พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ. 2535 ให้อำนาจองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นออกข้อบัญญัติท้องถิ่นว่าด้วยเรื่องการจัดการสิ่งปฏิกูลและมูลฝอย
หมายความว่า อปท.สามารถออกข้อบัญญัติท้องถิ่นเพื่อจัดเก็บค่าธรรมเนียมการจัดเก็บ ขนสิ่งปฏิกูลและมูลฝอยจากผู้เจ้าของ ผู้ครอบครองอาคารหรือสถานที่ซึ่งอยู่ในเขตพื้นที่รับผิดชอบได้
หรือประกาศกรุงเทพมหานคร เรื่อง กำหนดอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย ออกตามความข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง การจัดเก็บค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย พ.ศ.2547 โดยมีผลบังคับใช้วันที่ 13 มิ.ย.2568
กำหนดให้เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดน้ำเสีย ชำระค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสียเป็นรายได้ตามที่กำหนดในบัญชีอัตราค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย เช่น น้ำเสียจากบ้านเรือนที่พักอาศัยหรืออาคารชุดที่อยู่อาศัย
อัตรา 2 บาทต่อลูกบาศก์เมตร หน่วยงานของรัฐ โรงพยาบาล โรงเรียน อัตรา 4 บาทต่อลูกบาศก์เมตร และโรงงาน โรงแรม อัตรา 8 บาทต่อลูกบาศก์เมตร เป็นต้น
ทั้งยังมีการกำหนดเขตพื้นที่ที่เจ้าของหรือผู้ครอบครองแหล่งกำเนิดน้ำเสียต้องชำระค่าธรรมเนียมบำบัดน้ำเสีย การติดตั้งอุปกรณ์วัดปริมาณน้ำเสียจากแหล่งกำเนิดน้ำเสีย รวมถึงหลักเกณฑ์ วิธีการและเงื่อนไขเรื่องอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง
นอกจากการจัดเก็บค่าธรรมเนียมแล้วยังมีการจัดเก็บภาษีอีกด้วย เช่น กฎกระทรวงกำหนดพิกัดอัตราภาษีสรรพสามิต (ฉบับที่ 43) พ.ศ. 2568 ออกตามความในพ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต พ.ศ. 2560 กำหนดให้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2569 เป็นต้นไป
สินค้ารถยนต์นั่งหรือรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน หากเป็นรถยนต์ที่มีระยะการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ไม่ต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง จัดเก็บภาษีตามมูลค่าในร้อยละ 5
แต่หากเป็นรถยนต์ที่มีระยะการวิ่งด้วยพลังงานไฟฟ้า (Electric Range) ต่ำกว่า 80 กิโลเมตรต่อการประจุไฟฟ้า 1 ครั้ง จัดเก็บภาษีตามมูลค่าในร้อยละ 10 ซึ่งเป็นอัตราภาษีที่มากกว่ากรณีแรก เป็นต้น
เมื่อได้พิจารณากฎหมายข้างต้นแล้วจะพบว่า กฎหมายที่เกี่ยวข้องมีความมุ่งหมายที่แตกต่างกัน เริ่มตั้งแต่การควบคุม กำกับดูแลและกำหนดความรับผิดของผู้กระทำการฝ่าฝืนปล่อยมลพิษประเภทหรือชนิดต่าง ๆ สู่สิ่งแวดล้อมในรูปของค่าปรับหรือจำคุก
นอกจากนี้ยังจัดเก็บภาษีอากรและค่าธรรมเนียมการกิจกรรม หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนต่อการปล่อยมลพิษ หรือส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม เพื่อนำเงินรายได้ไปใช้ประโยชน์เป็นการเฉพาะเพื่อการคุ้มครองสิ่งแวดล้อม หรือเพื่อเป็นรายได้ให้แก่รัฐ
กรณีเหล่านี้จึงสามารถยืนยันได้ระดับหนึ่งว่า กฎหมายเป็นกลไกขับเคลื่อนมาตรการเชิงรุกการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ.







