ธรรมาภิบาลเชิงพุทธ: ESG ทางเลือกที่ยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย

ธรรมาภิบาลเชิงพุทธ: ESG ทางเลือกที่ยั่งยืนของภาคธุรกิจไทย

ขณะที่บริษัทใหญ่ทั่วโลกได้มีการจัดทำรายงานด้านความยั่งยืนหรือที่เรียกว่ารายงาน ESG ของตนเอง (ESG ย่อมาจาก Environmental Social and Governance)

แต่ปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมกลับยังคงทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ข้อมูลล่าสุดจากการศึกษาบริษัทเกือบ 30,000 แห่งในเอเชียกลับพบความจริงที่น่าสนใจ - องค์กรที่อยู่ในพื้นที่ที่มีวัฒนธรรมพุทธแข็งแกร่งผลงานด้าน ESG ดีกว่าองค์กรอื่นถึง 15-20% โดยที่ไม่ได้ใช้งบประมาณมากกว่า

ความแตกต่างที่ชัดเจนคือ “วิธีคิดและการตัดสินใจ” บริษัทในพื้นที่ที่มีวัดหรือศูนย์พุทธศาสนาหนาแน่นมีแนวโน้มถือเงินสดสำรองมากกว่า 12-15% สะท้อนถึงความรอบคอบและการมองระยะยาว ขณะที่บริษัทในพื้นที่อื่นมักเน้นการจ่ายปันผลสูงสุดให้ผู้ถือหุ้นในแต่ละไตรมาส

หลักปฏิจจสมุปบาทที่สอนเรื่องความเชื่อมโยงของทุกสิ่ง กลายเป็นแนวคิดสำคัญในการออกแบบระบบธรรมาภิบาล เมื่อผู้บริหารเข้าใจว่าการตัดสินใจขององค์กรส่งผลกระทบต่อชุมชน สิ่งแวดล้อม และสังคมในวงกว้าง พวกเขาจะไม่มองแค่ตัวเลขกำไรระยะสั้น แต่คำนึงถึงความยั่งยืนระยะยาว

การศึกษาทางประสาทวิทยาศาสตร์เผยข้อมูลที่น่าสนใจว่า ผู้บริหารที่ฝึกสมาธิอย่างสม่ำเสมอมีการทำงานของสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์ลดลง 35-40% และสมองส่วนที่ใช้ในการตัดสินใจทำงานดีขึ้น 25% ทำให้สามารถตัดสินใจได้อย่างใจเย็นและมีเหตุผลมากขึ้น โดยเฉพาะในสถานการณ์กดดัน

บริษัทหลายแห่งเริ่มนำแนวคิดนี้ไปปรับใช้ผ่านการเพิ่ม “ช่วงเวลาแห่งการไตร่ตรอง” สั้นๆ 2-3 นาทีก่อนการตัดสินใจสำคัญในห้องประชุมคณะกรรมการ ซึ่งพบว่าช่วยลดการตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น และเพิ่มคุณภาพของการพิจารณาผลกระทบในวงกว้าง

องค์กรที่นำหลัก “กรุณา” หรือ “ความเมตตา” มาใช้ในการดำเนินงาน พบความสัมพันธ์ที่น่าสนใจระหว่างการดูแลพนักงานกับผลประกอบการ บริษัทที่ใส่ใจความเป็นอยู่ของพนักงานอย่างจริงจังมีอัตราการลาออกลดลง พนักงานมีความสุขเพิ่มขึ้น 18-25% และที่สำคัญคือประสิทธิภาพการทำงานดีขึ้นตามไปด้วย

แนวทางนี้ยังสอดคล้องกับหลักทางสายกลางในพุทธศาสนา ที่ไม่สุดโต่งไปทางใดทางหนึ่ง ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเลือกระหว่างกำไรกับการทำดี แต่สามารถสร้างสมดุลที่ทั้งสองอย่างเกื้อหนุนกันได้ ตัวอย่างที่เห็นชัดคือ บริษัทที่ลดการใช้ทรัพยากรตามหลักความพอเพียง กลับพบว่าต้นทุนลดลง 20-45% ในระยะยาว

การมีตัวแทนของผู้มีส่วนได้เสียในคณะกรรมการหรือคณะที่ปรึกษาเป็นอีกแนวทางที่ได้ผล เมื่อชุมชน พนักงาน และคู่ค้ามีช่องทางในการสื่อสารความต้องการและความกังวลโดยตรง บริษัทสามารถป้องกันปัญหาได้ตั้งแต่ต้น แทนที่จะต้องมาแก้ไขทีหลังด้วยต้นทุนที่สูงกว่า

ในช่วงวิกฤติโควิด-19 บริษัทที่มีวัฒนธรรมองค์กรแบบพุทธ แสดงความยืดหยุ่นสูงกว่าบริษัทอื่น 30% เพราะมีการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับทุกฝ่าย เมื่อเกิดปัญหา ทุกคนพร้อมร่วมมือกันหาทางออก แทนที่จะแย่งชิงผลประโยชน์หรือโยนความผิดให้กัน

ข้อมูลจากการศึกษาในหลายประเทศยังแสดงให้เห็นว่า บริษัทที่นำหลักปัญญาหรือสติปัญญามาใช้ในการวางแผนกลยุทธ์ มีความสามารถในการคาดการณ์และรับมือกับความเสี่ยงได้ดีกว่า การฝึกให้ผู้บริหารมีสติและรู้เท่าทันอารมณ์ของตนเอง ช่วยให้พวกเขาไม่ตกเป็นเหยื่อของอคติในการตัดสินใจ ไม่ว่าจะเป็นการยึดติดกับความสำเร็จในอดีต หรือการตื่นตระหนกกับความล้มเหลว

สำหรับประเทศไทยที่มีพื้นฐานทางพุทธศาสนาอยู่แล้ว การนำหลักธรรมมาปรับใช้ในธุรกิจน่าจะทำได้ง่ายกว่าประเทศอื่น แต่สิ่งสำคัญคือ ต้องแปลงหลักธรรมให้เป็นแนวปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม ไม่ใช่แค่นำมาอ้างอิงในรายงานประจำปี ต้องมีการออกแบบกระบวนการ กำหนดตัวชี้วัด และติดตามผลอย่างจริงจัง

ภาครัฐสามารถสนับสนุนแนวทางนี้ ผ่านการให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแก่บริษัทที่มีกระบวนการตัดสินใจ ที่คำนึงถึงผลกระทบระยะยาว หรือการให้คะแนนพิเศษในการประมูลงานภาครัฐ สำหรับบริษัทที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง

ตลาดหลักทรัพย์ก็สามารถปรับเกณฑ์การประเมินให้สะท้อนคุณภาพของกระบวนการมากกว่าแค่ตัวเลข เช่น ให้คะแนนกับบริษัทที่มีกระบวนการรับฟังผู้มีส่วนได้เสียที่ดี มีการพิจารณาผลกระทบระยะยาวอย่างเป็นระบบ และมีความโปร่งใสในการรายงานทั้งความสำเร็จและความล้มเหลว

อย่างไรก็ตาม การเปลี่ยนแปลงนี้ต้องใช้เวลาและความอดทน ไม่สามารถคาดหวังผลลัพธ์ในชั่วข้ามคืน องค์กรที่ประสบความสำเร็จมักใช้เวลา 18-24 เดือนในการปรับเปลี่ยนวัฒนธรรมและกระบวนการทำงาน แต่เมื่อระบบเริ่มทำงาน ผลที่ได้มักคุ้มค่ากับการรอคอย ทั้งในแง่ของผลประกอบการ ความไว้วางใจจากสังคม และความยั่งยืนในระยะยาว

ท้ายที่สุดแล้ว การนำหลักพุทธธรรมมาใช้ในธรรมาภิบาล ไม่ได้หมายถึงการทำให้ธุรกิจกลายเป็นองค์กรศาสนา แต่เป็นการนำหลักการที่พิสูจน์แล้วว่าได้ผลมานับพันปีมาปรับใช้ให้เหมาะกับบริบทธุรกิจสมัยใหม่ เพื่อสร้างความยั่งยืนที่แท้จริงให้กับทั้งธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม ในยุคที่โลกกำลังเผชิญวิกฤตหลายด้านพร้อมกัน การกลับมามองหาคำตอบจากภูมิปัญญาดั้งเดิมอาจเป็นทางออกที่ดีที่สุด