จาก ‘แอนโทรโปซีน’ สู่ยุค ‘ซิมไบโอซีน’ | คิดอนาคต

จาก ‘แอนโทรโปซีน’ สู่ยุค ‘ซิมไบโอซีน’ | คิดอนาคต

เมื่อมองภาพใหญ่และเวลาระดับศตวรรษ ในปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ธรณีวิทยา นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเห็นพ้องว่าเรากำลังเข้าอยู่ในยุคสมัย

ที่เรียกว่า “แอนโทรโปซีน” (Anthropocene) ซึ่งต่างจากยุคสมัยโฮโลซีน (Holocene Epoch) ซึ่งเริ่มขึ้นหลังยุคน้ำแข็งราว 11,700 ปีก่อน และเป็นช่วงที่เอื้อต่อการเกิดเกษตรกรรมและอารยธรรมมนุษย์

คำว่าแอนโทรโปซีนเริ่มถูกใช้แพร่หลายตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 2000 โดย พอล ครุตเซน (Paul Crutzen) นักเคมีรางวัลโนเบลจากงานวิจัยเรื่องชั้นโอโซน ซึ่งเสนอว่าควรประกาศยุคสมัยใหม่ต่อจากโฮโลซีน (Holocene) เพื่อสะท้อนถึงผลกระทบของมนุษย์ต่อโลกอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

ความแตกต่างระหว่างสองยุคที่ชัดเจนที่สุดคือ ในยุคแอนโทรโปซีน มนุษย์กลายเป็นพลังทางธรณีวิทยาที่เปลี่ยนแปลงโลก ทั้งจากการขุดเจาะแร่ธาตุ เผาเชื้อเพลิงฟอสซิล สร้างพลาสติกและสารเคมีสังเคราะห์

รวมถึงแพร่กระจายของกัมมันตรังสีจากการทดลองนิวเคลียร์ ร่องรอยเหล่านี้จะถูกบันทึกอยู่ในชั้นหิน น้ำแข็ง และดินตะกอนของโลกไปอีกนับ 10,000 ปี จนเป็นหลักฐานชัดเจนว่ามนุษย์กลายเป็นผู้กำหนดชะตาของดาวเคราะห์ดวงนี้

การเป็นผู้กำหนดชะตาของโลกมาพร้อมบาดแผลที่สร้างไว้ ในปัจจุบัน โลกกำลังร้อนขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับที่แม้เราจะหยุดปล่อยก๊าซเรือนกระจกในวันนี้ ผลกระทบก็ยังคงอยู่ต่อไปอีกอย่างน้อยหลายหมื่นปี มหาสมุทรยังเต็มไปด้วยไมโครพลาสติกที่จะกลายเป็น “เทคโนฟอสซิล” จากยุคสมัยเรา สัตว์ป่าหายไปในอัตราเร็วกว่าที่เคยเกิดขึ้นในประวัติศาสตร์หลายล้านปี ความหลากหลายทางชีวภาพล่มสลายจนถูกขนานนามว่าการสูญพันธุ์ครั้งที่หก

นักคิดอย่าง Jason Moore เสนอว่าแท้จริงแล้ววิกฤตที่เราประสบอยู่ไม่ใช่ผลจากมนุษย์ทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน แต่เกิดจากระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนการสกัดใช้ทรัพยากรเพื่อการสะสมทุนมาอย่างต่อเนื่อง กว่า 500 ปี เขาเสนอคำว่า แคปปิตาโลซีน (Capitalocene) เพื่อชี้ให้เห็นต้นตอเชิงโครงสร้างและเชิงอำนาจ

เพราะการใช้คำว่าแอนโทรโปซีนอาจทำให้ความรับผิดชอบถูกกระจายไปทั่วและบดบังบทบาทของกลุ่มทุนอุตสาหกรรมและรัฐมหาอำนาจที่สร้างผลกระทบมหาศาลเกินกว่าชาวนา ชาวประมง หรือผู้คนธรรมดาจะเปรียบเทียบได้

ท่ามกลางบรรยากาศสิ้นหวังจากแอนโทรโปซีนที่มองไปแล้วไม่ใช่เส้นทางการพัฒนาที่ยั่งยืน

นักคิดอย่าง Glenn Albrecht ได้พยายามสร้างภาษาใหม่ขึ้นมาเพื่อเปิดประตูสู่วิสัยทัศน์แห่งความหวัง เขาเรียกมันว่า ซิมไบโอซีน (Symbiocene) หมายถึงยุคใหม่ที่มนุษย์เรียนรู้การอยู่ร่วมกันกับสิ่งมีชีวิตและระบบนิเวศด้วยความพึ่งพาอาศัย 

แนวคิดนี้ตั้งอยู่บนรากฐานการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ยุคใหม่ที่ชี้ให้เห็นว่าความร่วมมือและการเกื้อกูลคือหัวใจของวิวัฒนาการไม่แพ้การแข่งขัน อย่างเช่นมนุษย์เองก็ประกอบด้วยจุลินทรีย์นับล้านในร่างกาย ร่างกายมนุษย์คือ ชุมชนของชีวิตที่อยู่ร่วมกัน ไม่ใช่ปัจเจกที่แยกขาดจากธรรมชาติ 

ซิมไบโอซีนเป็นเข็มทิศสำหรับออกแบบอนาคตที่แตกต่างโดยสิ้นเชิง โดยเรียกร้องให้ระบบอุตสาหกรรม เกษตรกรรม และการใช้ชีวิตของมนุษย์ต้องถูกบูรณาการเข้ากับวัฏจักรธรรมชาติอย่างสมบูรณ์ เศรษฐกิจที่เราเคยยึดถือรูปแบบเส้นตรงแบบ “สกัด-ผลิต-ใช้-ทิ้ง” ต้องเปลี่ยนเป็นเศรษฐกิจหมุนเวียนที่ลดของเสีย ฟื้นฟูทรัพยากร และออกแบบให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ระบบได้โดยไม่เป็นพิษ

 

พลังงานต้องมาจากแหล่งหมุนเวียนที่สะอาดและกระจายอย่างเป็นธรรม สถาปัตยกรรมต้องเลียนแบบธรรมชาติ (Biomimicry) เพื่อสร้างสิ่งปลูกสร้างที่เติบโตได้เอง ย่อยสลายได้ และไม่ทำลายสมดุลของสิ่งแวดล้อม เช่น อิฐจากไมซีเลียมที่แข็งแรงและเป็นฉนวนกันความร้อน แต่ย่อยสลายได้ทางชีวภาพ

สิ่งเหล่านี้คือการพลิกแนวทางเทคโนโลยีจากการควบคุมและสกัดใช้ไปสู่การบูรณาการและฟื้นฟู

ประเทศไทยเองก็ได้พยายามก้าวเข้าสู่แนวทางที่ใกล้เคียงกับซิมไบโอซีน (Symbiocene) โดยการใช้แนวทางการสร้างผลสุทธิทางบวก (Net Positive Nature) ที่บูรณาการเข้าไปในแผนระดับชาติด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมฉบับล่าสุด มุ่งเน้นให้กิจกรรมของมนุษย์สร้างสรรค์ธรรมชาติได้ดีขึ้นกว่าเดิม ซึ่งเป็นแนวคิดการพัฒนาที่ก้าวไปอีกขั้นจากการลดผลกระทบ (Less Harm) หรือการไม่ทำร้ายสิ่งแวดล้อม (No Net Loss) 

โดยมุ่งเน้นให้กิจกรรมการพัฒนาไม่เพียงแค่หลีกเลี่ยงหรือบรรเทาผลกระทบต่อธรรมชาติเท่านั้น แต่ต้องสร้างผลลัพธ์เชิงบวกสุทธิที่จับต้องได้ให้กับระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อม กล่าวคือ ต้องทำให้ธรรมชาติดีขึ้นกว่าก่อนการพัฒนา เช่น การฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรมให้กลับมามีความอุดมสมบูรณ์ การเพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ การใช้เศรษฐกิจหมุนเวียน การคืนสมดุลของระบบนิเวศมากกว่าทรัพยากรที่ถูกใช้ไป 

แนวคิดนี้เน้นบทบาทของภาคส่วนต่างๆ โดยเฉพาะภาคธุรกิจ ภาคการผลิต และภาคการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ให้มีบทบาทเชิงรุกในฐานะผู้ฟื้นฟู (restorer) โดยไม่เพียงแค่ลดผลกระทบแต่ต้องลงทุนในการคืนคุณค่าธรรมชาติด้วยมาตรการต่างๆ เช่น การปลูกป่าในพื้นที่ต้นน้ำ การฟื้นฟูแนวปะการัง การส่งเสริมการเกษตรเชิงนิเวศ หรือการพัฒนาเมืองสีเขียวที่คืนพื้นที่สีเขียวมากกว่าที่ใช้ไป

การเปลี่ยนผ่านจากจากแอนโทรโปซีนสู่ยุคซิมไบโอซีนไม่ได้ง่าย Albrecht ตั้งความหวังว่าคนรุ่นใหม่ หรือเจนซิมไบโอซีน (Generation Symbiocene) จะเป็นพลังหลักในการผลักดันให้แนวคิดนี้กลายเป็นจริง เพราะคนรุ่นใหม่นี้จะต้องเผชิญผลกระทบจากแอนโทรโปซีนอย่างเต็มที่ และพวกเขาเองที่จะมีพลังสร้างอนาคตที่อยากอาศัยอยู่ต่อไป

 

จาก ‘แอนโทรโปซีน’ สู่ยุค ‘ซิมไบโอซีน’ | คิดอนาคต