‘ยุโรป’ เจอ ‘ไฟป่า’ รุนแรงที่สุดรอบ 20 ปี คร่าชีวิตคนนับร้อย พื้นที่เสียหายหลายล้านไร่

ยุโรป เจอไฟป่ารุนแรงสุดรอบ 20 ปี คร่าชีวิตคนนับร้อย เสียหายหลายล้านไร่ ผลจากอากาศร้อนต่อเนื่อง และมีหญ้าแห้งเชื้อเพลิงชั้นดี
KEY
POINTS
- ยุโรปเผชิญวิกฤติไฟป่ารุนแรงที่สุดในรอบ 20 ปี โดยมีพื้นที่ป่าถูกเผาทำลายไปแล้วกว่า 6.3 ล้านไร่ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยถึงสี่เท่า
- สาเหตุหลักเกิดจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เกิดคลื่นความร้อนรุนแรง และภัยแล้ง ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตแล้วมากกว่า 10 ราย และประชาชนต้องอพยพจำนวนมาก
- ไฟป่าได้ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ปริมาณมหาศาลเทียบเท่าการปล่อยก๊าซของทั้งประเทศ และก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศรุนแรงจากฝุ่น PM2.5
“ยุโรป” กำลังเจอกับ “ไฟป่า” ครั้งใหญ่ เผาทำลายพื้นที่ไปแล้วกว่า 6.3 ล้านไร่ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยกับช่วงเวลาเดียวกันในรอบ 20 ปีที่ผ่านมาถึงสี่เท่า ทำให้ปี 2025 เป็นปีที่มีไฟป่ารุนแรงที่สุดในเท่าที่เคยมีการบันทึกมา ทั้งที่ฤดูไฟป่ายังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนเต็ม
ข้อมูลจากระบบข้อมูลไฟป่าแห่งยุโรป (Effis) ระบุว่า ในปี 2025 มีพื้นที่ถูกเผาไหม้ไปแล้วกว่า 6.3 ล้านไร่ ทำลายสถิติเดิมของปี 2017 ที่ทำลายพื้นที่ไป 6.1 ล้านไร่ และยังคงจะเกิดไฟป่าต่อไปในอีกหลายสัปดาห์ คร่าชีวิตผู้คนไปมากกว่า 10 คน ขณะเดียวกันประชาชนต้องอพยพในหลายพื้นที่
สเปนมีพื้นที่ที่ถูกไฟไหม้มากกว่า 2.45 ล้านไร่ โดยรัฐบาลระบุว่าปี 2025 เป็นฤดูไฟป่าที่เลวร้ายที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 ขณะที่โปรตุเกสซึ่งมีขนาดเล็กกว่ามาก เปลวเพลิงเผาผลาญพื้นที่มากกว่า 1.68 ล้านไร่ หรือคิดเป็น 3%
ทั้งสองประเทศต้องเผชิญกับความร้อนระอุในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ป่าไม้แห้งแล้ง และคาบสมุทรกลายเป็นแหล่งเชื้อเพลิง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกำลังทำให้ความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่ารุนแรงขึ้น นำไปสู่คลื่นความร้อน และภัยแล้งที่รุนแรงและบ่อยครั้งมากขึ้น
ไฟป่าปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาถึง 37 ล้านตัน เทียบเท่ากับการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปีของประเทศโปรตุเกสหรือสวีเดน นอกจากนี้ไฟป่ายังทำให้เกิดมลพิษทางอากาศอีก 9 ชนิด รวมถึงฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 ซึ่งผู้เชี่ยวชาญระบุว่าทำให้ไฟป่ามีความรุนแรงมากกว่าที่คิดไว้ก่อนหน้านี้
เครดิตภาพ: REUTERS/Nacho Doce
คริสตินา ซานติน นูโญ นักวิทยาศาสตร์ด้านอัคคีภัยจากสภาวิจัยแห่งชาติสเปน กล่าวว่า สภาวะที่เหมาะสมในการเกิดไฟป่าขนาดใหญ่ และอันตรายเกิดขึ้นบ่อยขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และวิธีใช้พื้นที่ของมนุษย์
ไฟป่าลุกลามไปทั่วยุโรปตอนใต้ในเดือนนี้ เนื่องจากคลื่นความร้อนที่ยืดเยื้อ และรุนแรงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้อุณหภูมิสูงกว่า 40 องศาเซลเซียส ทั่วทะเลเมดิเตอร์เรเนียน และคาบสมุทรบอลข่าน
แต่นักวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า สาเหตุหลักของไฟป่าครั้งใหญ่ในสเปน และโปรตุเกสคือพืชพรรณติดไฟที่มากเกินไปในพื้นที่รกร้าง และความล้มเหลวของเจ้าหน้าที่ในการใช้มาตรการป้องกัน อัยการพิเศษด้านสิ่งแวดล้อมของสเปนได้เปิดการสอบสวนเกี่ยวกับการขาดแผนป้องกันไฟป่าในสัปดาห์นี้
“คลื่นความร้อนที่เข้มข้นขึ้นทำให้ชั้นบรรยากาศมีความกระหายน้ำมากขึ้น และทำให้ต้นหญ้า และพืชแห้งตาย เกิดเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี “สิ่งนี้มาพร้อมกับสภาพบรรยากาศที่ไม่เสถียรอย่างมาก ซึ่งนำไปสู่การเกิดพายุไฟขนาดใหญ่” วิกเตอร์ เรสโก เด ดิออส วิศวกรป่าไม้แห่งมหาวิทยาลัยเยย์ดา กล่าว
แม้ตัวเลขผู้เสียชีวิตอย่างเป็นทางการจากเหตุไฟป่าจะอยู่ที่หลักสิบ แต่นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่าจำนวนผู้เสียชีวิตแฝงน่าจะสูงกว่านี้มาก เนื่องจากควันหนาทึบจะเข้าไปปนเปื้อนปอดของผู้คนด้วยก๊าซอันตราย และอนุภาคพิษที่มีขนาดเล็กพอที่จะซึมเข้าสู่กระแสเลือด ผลการศึกษาที่ตีพิมพ์ในวารสาร The Lancet เมื่อเดือนธันวาคม 2024 ระบุว่าควันไฟป่าเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตของชาวยุโรป 111,000 รายต่อปี ในช่วงระหว่างปี 2000-2019
เครดิตภาพ: REUTERS/Nacho Doce
หน่วยตรวจสอบบรรยากาศโคเปอร์นิคัสของสหภาพยุโรปพบว่าไฟป่ารุนแรงในปีนี้ ทำให้ปริมาณก๊าซเรือนกระจกจากไฟป่าในสเปนพุ่งสูงสุดในรอบ 23 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูล ควันไฟจากไฟป่าทั่วคาบสมุทรไอบีเรียยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นจากควันที่ลอยข้ามมหาสมุทรแอตแลนติกจากแคนาดา ซึ่งเผาไหม้อย่างหนักในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
มาร์ค แพร์ริงตัน นักวิทยาศาสตร์จากโคเปอร์นิคัส กล่าวว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากไฟป่าในสเปน และโปรตุเกสในเดือนสิงหาคม เป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ธรรมดา มีควันปริมาณมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง PM2.5 ที่ปล่อยสู่ชั้นบรรยากาศ ส่งผลให้คุณภาพอากาศในพื้นที่ และพื้นที่อื่นๆ ทั่วคาบสมุทรไอบีเรีย และบางส่วนของฝรั่งเศส เสื่อมโทรมลงอย่างรุนแรง
Effis คาดว่าสภาพอากาศที่เกิดไฟป่าจะคลี่คลายลงในพื้นที่ส่วนใหญ่ของยุโรปตอนใต้ในสัปดาห์นี้ แต่ในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือจะมีความผิดปรกติสูงถึงขั้นรุนแรงมาก
ซานติน นูโญ กล่าวว่าฤดูไฟป่าที่รุนแรง ไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ทุกปี แต่โอกาสที่จะทำลายสถิติกลับเพิ่มขึ้นทุกปี มีความเป็นไปได้สูงที่สถิติในปี 2025 จะถูกทำลายอีกครั้งในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โดยเธอกล่าวเสริมว่า “นี่คือความจริง และยิ่งเราตระหนักถึงสิ่งนี้เร็วเท่าไร และลงมือปฏิบัติเพื่อรับมือกับไฟป่าประเภทนี้ได้มากเท่าไร ก็จะยิ่งดีเท่านั้น”
แนวทางป้องกันไฟในระยะยาว
โฮเซ มานูเอล กาเบรโร ศาสตราจารย์ด้านโครงสร้างทางสถาปัตยกรรม และการก่อสร้างไม้ จากมหาวิทยาลัยนาวาร์รา ระบุว่าวิธีการแก้ไขไฟป่า คือ จำเป็นต้องกำจัดองค์ประกอบที่ทำให้เกิดไฟ ที่เรียกว่า “สามเหลี่ยมไฟ” (Fire Triangle) ได้แก่ความร้อน ออกซิเจน และเชื้อเพลิง หากกำจัดองค์ประกอบใดองค์ประกอบหนึ่งออกไปได้ไฟก็จะดับลง
ความร้อน และออกซิเจนอยู่นอกเหนือการควบคุมของมนุษย์ วิธีเดียวที่สามารถการป้องกันไฟคือ การจัดการกับเชื้อเพลิง สำหรับการเกิดไฟป่า มักเกิดในที่รกร้างไม่ได้ใช้ประโยชน์ที่มีหญ้า และต้นไม้ขึ้นอยู่ และเมื่อพืชพรรณเหล่านั้นแห้งตายจากภัยแล้งก็จะกลายเป็นเชื้อเพลิงชั้นดี
เพื่อป้องกันการเกิดไฟป่า และควบคุมเชื้อเพลิงที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติจึงจำเป็นต้องจัดการภูมิทัศน์อย่างจริงจัง เพราะป่าที่ดีจะต้องช่วยให้ระบบนิเวศเหล่านี้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ และเกื้อหนุนแหล่งที่อยู่อาศัยที่จำเป็น
กุญแจสำคัญในการป้องกันไฟป่าคือ การสร้างเศรษฐกิจชนบทบนพื้นฐานการใช้ประโยชน์จากป่า ซึ่งจะช่วยให้เกิดการจ้างงานที่จำเป็น โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบทที่ไร้ผู้คนของประเทศ แต่ก็ต้องมีค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้น การลงทุนในป่าจึงเป็นสิ่งสำคัญ
หากจะให้ป่าคงอยู่ได้ จำเป็นต้องสร้างเศรษฐกิจที่ยั่งยืนโดยมุ่งเน้นที่สินค้า และบริการที่ป่าจัดหาให้ ซึ่งรวมถึงการทำปศุสัตว์ ป่าไม้ เกษตรกรรมแบบผสมผสาน การท่องเที่ยว และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ที่ไม่ใช่ไม้
โครงการต่างๆ ของสเปน เช่น PRISMA, BIOVALOR และ Bio+Málaga กำลังสำรวจวิธีการเปลี่ยนการจัดการเชิงรุกนี้ให้เป็นการจ้างงาน และโอกาสสำหรับพื้นที่ชนบท นอกจากนี้ยังมีโครงการความร่วมมืออื่นๆ ที่เชื่อมโยงภูมิภาคต่างๆ ทั่วยุโรปเข้าด้วยกัน เช่น SCALE-UP, RIBES และ BioRural โครงการริเริ่มเช่นนี้กำลังพลิกโฉมป่าไม้ของเรา ไม่เพียงแต่ในฐานะพื้นที่ธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นแรงขับเคลื่อนการพัฒนาท้องถิ่นอีกด้วย
ขณะเดียวกัน เทคโนโลยียังมีบทบาทสำคัญในการดับไฟ เช่น ในนาวาร์ หน่วยบริการฉุกเฉินได้พัฒนาระบบสารสนเทศทางภูมิศาสตร์ที่ช่วยให้สามารถทำแผนที่พื้นที่เสี่ยงภัย แสดงภาพเส้นทางการเข้าถึง และประสานงานการตอบสนองแบบเรียลไทม์ แต่ระบบนี้จะมุ่งเน้นการป้องกันมากกว่าการดับไฟ จะทำแผนที่อย่างแม่นยำว่าพืชไวไฟสะสมอยู่ตรงไหน รวมถึงเส้นทาง และถนนที่ไม่ได้ใช้งาน และพื้นที่ใดที่ต้องได้รับการดูแลอย่างเร่งด่วน หมายความว่าการจัดการป่าไม้สามารถอยู่บนพื้นฐานของข้อมูล ช่วยให้สามารถลงทุนทรัพยากรในจุดที่จำเป็นที่สุด และมีประสิทธิภาพ และแม่นยำยิ่งขึ้น
ที่มา: Earth, Politico, The Conversation, The Guardian
เครดิตภาพ: REUTERS/Nacho Doce
พิสูจน์อักษร....สุรีย์ ศิลาวงษ์







