วางงบ 172 ล้าน แก้มลพิษแม่น้ำจากเหมืองพม่า 'เฉลิมชัย' ชี้ภารกิจด่วน-ซับซ้อน

วางงบ 172 ล้าน แก้มลพิษแม่น้ำจากเหมืองพม่า 'เฉลิมชัย' ชี้ภารกิจด่วน-ซับซ้อน

รัฐบาลเตรียมงบประมาณ 172 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำที่เกิดจากเหมืองแร่ในเมียนมาซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนไทย ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทส. ชี้ว่าภารกิจนี้มีความเร่งด่วนและซับซ้อน เนื่องจากเป็นปัญหาระหว่างประเทศและต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย

KEY

POINTS

  • รัฐบาลเตรียมงบประมาณ 172 ล้านบาท เพื่อแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำที่เกิดจากเหมืองแร่ในเมียนมาซึ่งส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายแดนไทย
  • นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.ทส. ชี้ว่าภารกิจนี้มีความเร่งด่วนและซับซ้อน เนื่องจากเป็นปัญหาระหว่างประเทศและต้องอาศัยความร่วมมือหลายฝ่าย
  • แนวทางแก้ไขหลักคือการสร้าง "ฝายดักเก็บตะกอน" ในแม่น้ำสาขาที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งต้องออกแบบอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้กระทบการคมนาคมทางน้ำ
  • การประสานงานกับเมียนมาซึ่งเป็นต้นทางของปัญหายังมีข้อจำกัด ทำให้ต้องใช้กลไกอาเซียนเข้ามาช่วยในการเจรจาและแก้ไขปัญหา

"ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าและแนวทางการทำงานของกระทรวงฯ ในการเฝ้าระวังและแก้ไขปัญหามลพิษทางน้ำจากเหมืองแร่หายากในเมียนมา ซึ่งกำลังส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและชุมชนในพื้นที่ชายแดนไทย โดยเน้นการบูรณาการความร่วมมือระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง การใช้ข้อมูลเชิงวิชาการเพื่อประเมินความเสี่ยง ตลอดจนการประสานความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านและองค์กรระหว่างประเทศ เพื่อหามาตรการป้องกันและแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน

สร้าง "ฝายดักเก็บตะกอน"

“ดร.เฉลิมชัย” ให้สัมภาษณ์ว่า ปัญหามลพิษทางน้ำจากเหมืองแร่หายาก (Rare Earth) ในประเทศเมียนมา ซึ่งส่งผลกระทบมายังพื้นที่ชายแดนไทย ถือเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเร่งด่วน ตอนนี้ปัญหาดังกล่าวได้ถูกบรรจุเป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนในพื้นที่นั้นแล้ว โดยกรมทรัพยากรน้ำได้เข้าไปดูแลในด้านการออกแบบ "ฝายดักเก็บตะกอน"

“วิศวกรรมในการสร้างฝายนั้นไม่ง่าย เพราะพื้นที่ตรงนั้นต้องแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือแม่น้ำที่เป็นพรมแดนระหว่างไทยกับเมียนมา ซึ่งต้องยอมรับว่าการแก้ไขตรงนั้นทำได้ยาก ส่วนที่สองคือแม่น้ำสาขาที่ไหลเข้าสู่ประเทศไทย ซึ่งเป็นพื้นที่ที่เรากำลังดำเนินการอยู่

นอกจากนั้น ลำน้ำในพื้นที่ยังใช้เป็นเส้นทางคมนาคมด้วย การสร้างฝายปิดทั้งหมดจึงไม่สามารถทำได้ จำเป็นต้องออกแบบให้สอดคล้องกับลักษณะของลำน้ำ ความแรงของกระแสน้ำ และลักษณะทางกายภาพ เช่น โค้งน้ำ เพื่อให้สามารถใช้งานด้านคมนาคมได้ควบคู่กับการดักตะกอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อย่างไรก็ตาม กว่าที่จะสามารถดำเนินการก่อสร้างโครงการสำคัญตามเป้าหมายได้ อาจต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง คณะกรรมการจากกรมควบคุมมลพิษได้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบแนวทางแก้ไขปัญหา ร่วมกับกรมทรัพยากรน้ำและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยมีการจัดเตรียมงบประมาณไว้เรียบร้อยแล้ว

การตอบรับจากต้นทางยังจำกัด

“ดร.เฉลิมชัย” กล่าวว่า การดำเนินงานไม่ได้มีเพียงหน่วยงานเดียว กระทรวงฯทำงานร่วมกันทั้งฝ่ายโยธา สถาบันการศึกษา โดยเฉพาะคณะวิศวกรรมศาสตร์ ที่ร่วมออกแบบฝายชะลอน้ำเพื่อดักตะกอนให้ได้มากที่สุด จากนั้นจะมีขั้นตอนในการบำบัดหรือทำลายสารปนเปื้อนเหล่านั้น

อีกส่วนหนึ่งคือการประสานงานระหว่างประเทศ ได้ทำงานร่วมกับกระทรวงการต่างประเทศและฝ่ายทหาร เพื่อขอความร่วมมือจากต้นทางคือเหมืองในประเทศเพื่อนบ้าน

“ต้องเรียนตรงๆ ว่าความคืบหน้ายังไม่มากนัก แม้เราจะดำเนินการเชื่อมโยงและประสานงานอยู่ตลอด แต่การตอบรับจากต้นทางยังจำกัด เนื่องจากพื้นที่นั้นอยู่ภายใต้การดูแลของหลายกลุ่ม ทำให้การบริหารจัดการซับซ้อนมากขึ้น”

ต้องอาศัยกลไกอาเซียน

“ดร.เฉลิมชัย” ย้ำว่า ไม่ได้นิ่งนอนใจ กำลังทำการแก้ไขในส่วนที่สามารถดำเนินการได้ หลายท่านเสนอให้เข้าไปจัดการโดยตรง แต่ต้องเข้าใจว่าอธิปไตยของเราครอบคลุมเฉพาะเขตแดนประเทศไทยเท่านั้น

“เราจึงใช้กลไกอาเซียนในการประสานงาน หากต้นทางไม่สามารถแก้ไขได้ ก็ต้องมีการจัดการจากปลายทาง เราได้เสนอปัญหาในการประชุมร่วม และมีเจ้าหน้าที่เดินทางไปยังประเทศต้นทางเพื่อเจรจา แม้ยังไม่สามารถเข้าถึงทุกพื้นที่ได้ เนื่องจากจำนวนเมืองที่เกี่ยวข้องมีมาก และไม่มีหน่วยงานใดรับรองความปลอดภัย รวมถึงยังไม่มีข้อกฎหมายที่สามารถบังคับใช้ได้ในพื้นที่นั้น นี่คือประเด็นสำคัญที่สุด”

วางกรอบงบ 172 ล้านบาท จัดการปัญหาน้ำ

“ธีระชุณ บุญสิทธิ์” อธิบดีกรมทรัพยากรน้ำ กล่าวกับ ‘กรุงเทพธุรกิจ’ ว่า ในการประชุมร่วมกับคณะกรรมการกำกับรูปแบบโครงการ ภายใต้การดูแลของท่านรองนายกรัฐมนตรี ประเสริฐ จันทรรวงทอง ได้มีการกำหนดกรอบงบประมาณไว้ที่ประมาณ 172 ล้านบาท ซึ่งอยู่ในแผนงานที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน การสรุปแบบโครงการ และการประชุมร่วมกับภาคประชาสังคมและนักวิชาการในพื้นที่

“คณะทำงานประกอบด้วยคณาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ซึ่งเราต้องการให้ได้ข้อเสนอที่มีทั้งความเห็นทางวิชาการและการยอมรับจากประชาชนในพื้นที่ เพื่อใช้เป็นแนวทางในการลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ขณะนี้กรมทรัพยากรน้ำกำลังเร่งสรุปและตรวจสอบรูปแบบโครงการ เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีพิจารณาและนำเข้าสู่กระบวนการตัดสินใจร่วมกับคณะกรรมการชุดใหญ่”

น้ำบริโภคผ่านมาตรฐาน 100%

“ดร.เฉลิมชัย” กล่าวต่อว่า ในช่วงนี้กรมควบคุมมลพิษยังพบค่ามลพิษเกินมาตรฐานในชั้นที่ 8 ของพื้นที่ที่ตรวจสอบอยู่ จึงเป็นเรื่องที่น่าห่วงในด้านสุขภาพของประชาชน รวมถึงผลกระทบต่อสัตว์น้ำและสิ่งมีชีวิตในหน้าดิน

“แต่สิ่งหนึ่งที่ผมสามารถยืนยันได้คือ น้ำดื่มและน้ำบริโภคในพื้นที่นั้นสะอาด 100% ผ่านมาตรฐาน ไม่มีสารปนเปื้อนเกินค่ากำหนดอย่างแน่นอน แม้สถานการณ์ยังไม่รุนแรง แต่เราก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ผมพูดเช่นนี้เพื่อให้พี่น้องประชาชนสบายใจว่า ณ ขณะนี้ยังไม่เกิดผลกระทบโดยตรง แต่หากเราไม่ดำเนินการใดๆ เลย ปัญหาจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอนในอนาคต”

ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA)

“ดร.เฉลิมชัย” กล่าวทิ้งท้ายว่า กำลังรอผลการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) ซึ่งจะเป็นตัวชี้วัดว่ามีผลกระทบอย่างไร หากพบว่ามีผลกระทบ ก็จะเสนอแนวทางปรับขนาดโครงการหรือปรับปรุงรูปแบบให้เหมาะสม

“ผมขอให้ฝ่ายวิชาการดำเนินการให้ครบถ้วนก่อน เพราะการแสดงความเห็นโดยใช้อารมณ์ไม่ใช่แนวทางที่เหมาะสม เมื่อผล EIA สรุปออกมาแล้ว จะต้องมีคำตอบที่ชัดเจน พร้อมแนวทางแก้ไข เช่น การลดขนาดโครงการหรือปรับปรุงในจุดที่จำเป็น ซึ่งขณะนี้เรากำลังหารือกันอยู่”