ระดับน้ำทะเลขึ้นสูง ‘รูปปั้นโมอาย’ เตรียมจมบาดาล โดยที่ไม่รู้ว่าสร้างได้อย่างไร

รูปปั้นโมอาย อาจจมบาดาล ก่อนที่จะรู้ว่าสร้างได้อย่างไรจากระดับน้ำทะเลขึ้นสูง คลื่นซัดชายฝั่ง หนำซ้ำโดนฝนกัดกร่อนหิน ไฟป่าไหม้เสียหาย
KEY
POINTS
- ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นคาดว่าจะทำให้เกิดคลื่นยักษ์ซัดเกาะอีสเตอร์ภายในปี 2100 ซึ่งเป็นภัยคุกคามโดยตรงต่อรูปปั้นโมอายและแหล่งวัฒนธรรมอื่น ๆ
- ผลการวิจัยชี้ว่าแท่นพิธีกรรมที่ใหญ่ที่สุด "อาฮูทองการิกิ" ซึ่งมีโมอาย 15 ตัว อาจถูกน้ำท่วมได้เร็วที่สุดในปี 2080
- นอกจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล รูปปั้นโมอายยังเผชิญภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอื่น ๆ เช่น การกัดเซาะที่รุนแรงขึ้นและไฟป่า
ภายในปี 2100 ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอาจพัดพาคลื่นยักษ์เข้าใส่เกาะอีสเตอร์ ของชิลี และทำให้ “โมอาย” (Moai) รูปแกะสลักหินยักษ์ จมอยู่ใต้น้ำ เช่นเดียวกับแหล่งวัฒนธรรมอื่น ๆ อีกประมาณ 50 แห่งในพื้นที่ก็มีความเสี่ยงจากน้ำท่วมเช่นกัน
“ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นเป็นเรื่องจริง และไม่ใช่ภัยคุกคามที่ไกลตัว” โนอาห์ เปาอา หัวหน้าทีมวิจัยและนักศึกษาปริญญาเอกจากคณะวิทยาศาสตร์มหาสมุทรและโลกและเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยฮาวาย มาโนอา กล่าว
ทีมวิจัยสร้าง “ดิจิทัลทวิน” (Digital Twin) ความละเอียดสูงของชายฝั่งตะวันออกของเกาะ และรันแบบจำลองคอมพิวเตอร์ เพื่อจำลองผลกระทบของคลื่นในอนาคตภายใต้สถานการณ์จำลองระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นหลายระดับ จากนั้นพวกเขานำผลลัพธ์ที่ได้ไปซ้อนทับกับแผนที่ของแหล่งวัฒนธรรม เพื่อระบุสถานที่ที่อาจถูกน้ำท่วมในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้า
ผลการวิจัยแสดงให้เห็นว่า คลื่นอาจซัดไปถึงอาฮูทองการิกิ (Ahu Tongariki) แท่นประกอบพิธีกรรมที่ใหญ่ที่สุดบนเกาะได้เร็วที่สุดในปี 2080 และเป็นที่ตั้งของโมอายสูงตระหง่าน 15 ตัว ดึงดูดนักท่องเที่ยวหลายหมื่นคนในแต่ละปี และถือเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจการท่องเที่ยวของเกาะ
นอกเหนือจากคุณค่าทางเศรษฐกิจแล้ว อาฮูยังผูกพันอย่างลึกซึ้งกับอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชาวราปานุย ตั้งอยู่ในอุทยานแห่งชาติราปานุย ซึ่งครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเกาะและได้รับการยกย่องให้เป็นมรดกโลกขององค์การยูเนสโก
รูปปั้นโมอายประมาณ 900 ชิ้นทั่วเกาะสร้างขึ้นโดยชาวราปานุยระหว่างศตวรรษที่ 10-16 เพื่อเป็นเกียรติแก่บรรพบุรุษและหัวหน้าเผ่าคนสำคัญ
ภัยคุกคามนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในปี 1960 แผ่นดินไหวครั้งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยบันทึกมา ขนาด 9.5 ริกเตอร์ นอกชายฝั่งชิลี ก่อให้เกิดคลื่นสึนามิซัดเข้าฝั่งมหาสมุทรแปซิฟิก พัดถล่มราปานุยและพัดพาโมอายที่ล้มอยู่แล้วเข้าไปในแผ่นดิน ซึ่งทำให้บางส่วนของโมอายได้รับความเสียหาย และได้รับการบูรณะในช่วงทศวรรษ 1990
แม้ว่าการศึกษาจะมุ่งเน้นไปที่เกาะอีสเตอร์ แต่ข้อสรุปของการศึกษานี้สะท้อนให้เห็นว่า แหล่งมรดกทางวัฒนธรรมทั่วโลกกำลังตกอยู่ในอันตรายจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น รายงานของยูเนสโกระบุว่า มีแหล่งมรดกโลกประมาณ 50 แห่งที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมชายฝั่งอย่างรุนแรง และโมอายเป็นหนึ่งในแหล่งมรดกที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมากที่สุดทั่วโลก เนื่องจากหินสลักโมอายมากกว่า 90% ตั้งอยู่ตามแนวชายฝั่ง
โฆษกของยูเนสโกกล่าวว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดต่อแหล่งทรัพยากรทางทะเลที่เป็นมรดกโลกของยูเนสโก “ในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนและแอฟริกา พื้นที่ลุ่มน้ำชายฝั่งเกือบสามในสี่แห่งกำลังเผชิญกับการกัดเซาะและน้ำท่วมเนื่องจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างรวดเร็ว”
นอกจากนี้ ยังมีภัยธรรมชาติมากมายที่กำลังทำลายโมอาย ดาเนียลา เมซา มาร์ชองต์ หัวหน้านักอนุรักษ์ของชุมชนชนพื้นเมืองมาอู เฮนูอา ผู้ดูแลอุทยานแห่งชาติราปานุย กล่าวว่าการผุกร่อนของโมอายดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 50 ปีที่ผ่านมา
ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ปริมาณน้ำฝนที่เกาะนี้ลดลงอย่างมาก และมักจะตกกระจายเป็นช่วง ๆ แต่ในขณะเดียวกันกลับตกรุนแรงขึ้น ส่งผลให้โมอายถูกกัดเซาะอย่างรุนแรงยิ่งกว่าเดิม เกาะแห่งนี้มีต้นไม้ปกคลุมน้อยอยู่แล้ว และภัยแล้งที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งทำให้แหล่งน้ำจืดแห้งเหือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดไฟป่า
ไฟป่าครั้งหนึ่งในเดือนตุลาคม 2022 ได้เผาทำลายรูปปั้นโมอายกว่า 80 ชิ้น จนรูปปั้นแตกร้าวรุนแรงถึงขั้นที่หน่วยงานท้องถิ่นระบุว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นนั้นไม่อาจซ่อมแซมได้และส่งผลร้ายแรงเกินกว่าที่ตาจะมองเห็น
หาทางรักษาโมอาย
เพื่อรับมือกับผลกระทบจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น ในปี 2018 นักโบราณคดีท้องถิ่นได้เสริมกำลังโครงสร้างคล้ายกำแพงกันคลื่นสองแห่ง เพื่อป้องกันคลื่นซัดเข้าหาแท่นอาฮู นอกจากนี้ยังได้ประกอบชิ้นส่วนของแท่นที่พังทลายไปตามกาลเวลาเข้าด้วยกันและเสริมความแข็งแกร่งให้แท่นอาฮู โดยใช้โดรนในการสแกนภาพสามมิติของพื้นที่ ทำให้พวกเขาสามารถวางแผนงานบูรณะและอนุรักษ์ได้โดยไม่ต้องดำเนินการขุดค้นขนาดใหญ่ที่รุกล้ำพื้นที่แหล่งมรดกโลก
ในปี 2023 ยูเนสโกได้จัดสรรงบประมาณ 97,000 ดอลลาร์ ผ่านกองทุนฉุกเฉินมรดกโลก เพื่อประเมินความเสียหายจากไฟไหม้ ซ่อมแซม และพัฒนาแผนการจัดการความเสี่ยงสำหรับอุทยานแห่งชาติราปานุย ซึ่งรวมถึงโมอายที่ถูกไฟไหม้ในปี 2022 โดยเริ่มทำการฟื้นฟูจากโมอายที่ได้รับความเสียหายจากไฟไหม้มากที่สุดจำนวน 5 ชิ้น และเมื่อบูรณะรูปปั้นทั้ง 5 เสร็จแล้วจะใช้เป็นต้นแบบสำหรับโครงการอนุรักษ์และบูรณะหินที่เหลือบนเกาะในอนาคต แม้ว่าในตอนนี้พวกเขามีเงินทุนสำหรับโมอายเพียงห้าชิ้นแรกเท่านั้นก็ตาม
“ทุกหลุม ทุกขั้นตอนการบำรุงรักษา จำเป็นต้องได้รับใบอนุญาตพิเศษ โครงการที่มีโมอายทั้งห้าชิ้นนี้จะช่วยให้เราสร้างระเบียบปฏิบัติในการอนุรักษ์โมอาย ดังนั้นเราจึงไม่จำเป็นต้องขออนุญาตโมอายทีละชิ้นอีกต่อไป” อาริกิ เทปาโน มาร์ติน ประธานกลุ่มชุมชนพื้นเมือง Ma'u Henua กล่าว
ปัจจุบัน การอนุรักษ์โมอายกำลังพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับความช่วยเหลือจากเทคโนโลยีใหม่ ๆ และเงินทุนสนับสนุนจากองค์กรระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นการบำบัดด้วยสารเคมีที่มีราคาแพงให้หินสามารถทนทานต่อละอองน้ำทะเลมากขึ้น แต่สารเคมีนี้มีราคาแพงและต้องทำซ้ำทุก 5-10 ปี ซึ่งอาจไม่เหมาะกับดินแดนอันห่างไกลนี้
อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านในพื้นที่มีความเห็นแตกต่างกันไป เกี่ยวกับโมอาย ชาวบ้านบางคนเชื่อว่าโมอายเหล่านี้น่าจะได้รับการอนุรักษ์ไว้ในพิพิธภัณฑ์มากกว่าไว้กลางดินกลางทราย โดยปัจจุบันกำลังก่อสร้างพิพิธภัณฑ์แห่งใหม่บนเกาะอีสเตอร์ แต่บางคนก็อยากให้เอาโบราณวัตถุต่าง ๆ ไปไว้ที่บริทิชมิวเซียม เนื่องจากมีระบบรักษาความปลอดภัยที่แน่นหนา และมีอุปกรณ์วัดความชื้น
บางคนก็เชื่อว่าควรปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติ เดล ซิมป์สัน จูเนียร์ นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยอิลลินอยส์ เออร์แบนา-แชมเปญ ในสหรัฐอเมริกา ผู้ศึกษาเครื่องมือแกะสลักของชาวโพลินีเซียน กล่าวว่า “หลายคนเชื่อว่าโมอายควรจะจมลงสู่พื้นดิน ปล่อยให้พวกเขากลับไปยังฮานัว ดินแดนของพวกเขา”
ซิมป์สัน จูเนียร์ข้อสังเกตว่าชุมชนหลายแห่งทั่วแปซิฟิกตั้งใจทำลายโบราณวัตถุและเครื่องราชกกุธภัณฑ์ เพราะเชื่อว่าทุกสิ่งล้วนมีวัฏจักรชีวิต มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด “เราอาจมองว่ามันคือการทำลายล้าง แต่มันคือเส้นชีวิตของรูปปั้น”
อย่างไรก็ตาม ชาวราปานุยบางคนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง สำหรับพวกเขาแล้ว โมอายถือเป็นรากฐานสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นผลงานชิ้นเอกที่แสดงความคิดสร้างสรรค์ทางวิทยาศาสตร์และประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ซึ่งไม่มีสิ่งใดทดแทนได้ ขณะเดียวกันก็สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมากกว่า 100,000 คนมายังที่นี่ทุกปี และการท่องเที่ยวกลายเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจท้องถิ่น
“การอนุรักษ์โมอายไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่พึงกระทำเท่านั้น แต่มันเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง การยืนดูผลงานชิ้นเอกเหล่านี้เสื่อมโทรมลงนั้น เป็นเรื่องที่ไม่สามารถยอมรับได้” เคลาดิโอ คริสติโน-เฟร์รันโด นักโบราณคดีจากมหาวิทยาลัยชิลีกล่าว
พร้อมระบุว่าแนวคิดที่ว่า โมอายควรกลับสู่ความว่างเปล่า เป็นเรื่องที่เข้าใจผิด โดยคริสติโน-เฟร์รันโดกล่าวเสริมว่า “ความคิดเช่นนี้ขัดแย้งไม่เพียงแต่กับหน้าที่พื้นฐานของเราในฐานะผู้พิทักษ์มรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังขัดแย้งกับเจตนาเดิมของประเพณีราปานูอีด้วย เพราะโมอายควรทำหน้าที่เป็นพยานหลักฐานถึงการมาถึงของบรรพบุรุษชาวโพลีนีเซียบนเกาะแห่งนี้”
ท่ามกลางการถกเถียงนี้ กลุ่ม Ma'u Henua มุ่งมั่นที่จะใช้แนวทางหลายแง่มุม เพื่อให้หาวิธีที่ดีที่สุดในการคงไว้ซึ่งรูปปั้นโมอายบนเกาะ โดยผสมผสานการอนุรักษ์เข้ากับการสนับสนุนการสร้างสรรค์สิ่งประดิษฐ์ใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากงานอนุรักษ์ของกลุ่มแล้ว เทปาโน มาร์ติน ยังหวังที่จะพัฒนาโครงการต่าง ๆ ที่จะกระตุ้นให้ช่างฝีมือท้องถิ่นยังคงทำโมอายต่อไป และถ่ายทอดเทคนิคการแกะสลักหินทัฟแบบดั้งเดิมให้กับคนรุ่นหลัง
เทปาโน มาร์ติน กล่าวว่า “ไม่ใช่แค่การปกป้องโมอายเท่านั้น แต่เรากำลังปกป้องโมอายเพื่อให้มั่นใจว่าผู้คนบนเกาะนี้จะยังคงมีชีวิตอยู่ วัฒนธรรมของเรายังคงอยู่ และเราสามารถรักษาประเพณีของบรรพบุรุษไว้ได้ด้วยการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ”
ที่มา: Aljazeera, AP News, BBC, Independent







