TGO ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ Net Zero

TGO ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ Net Zero

TGO นำเสนอผลการดำเนินงานภายใต้โครงการส่งเสริมการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ด้วยวิธี Science-Based Target (ระยะที่ 2)

ทั่วโลกกำลังมุ่งเข้าสู่ “เน็ตซีโร่” (Net Zero) ซึ่งเป็นปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ ประเทศไทยก็เช่นกัน โดยตั้งเป้าไว้ที่ปี 2065 แต่การที่จะไปถึงจุดนั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย มีความท้าทายมากมาย 

องค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ TGO ร่วมกับ ศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านพลังงานเชิงนิเวศเศรษฐกิจ (CEEE) คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จึงได้ก่อตั้งโครงการส่งเสริมการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ด้วยวิธี Science-Based Target โดยตั้งเป้าให้ภาคอุตสาหกรรมได้ฝึกปฏิบัติการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ตามแนวทางของ อบก. ซึ่งมีเป้าหมายคือให้องค์กรนำร่องมีแผนการลดก๊าซเรือนกระจกเพื่อมุ่งสู่ Net Zero

รศ.ดร.หาญพล พึ่งรัศมี หัวหน้าศูนย์ความเป็นเลิศทางด้านพลังงานเชิงนิเวศเศรษฐกิจ ภาควิชาวิศวกรรมเคมี คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้นำเสนอผลการดำเนินงานภายใต้โครงการส่งเสริมการกำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของภาคอุตสาหกรรม เพื่อมุ่งสู่ Net Zero ด้วยวิธี Science-Based Target (ระยะที่ 2) เมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2568 ณ โรงแรมพูลแมน คิง เพาเวอร์ กรุงเทพ (รางน้ำ)

โครงการนี้เริ่มต้นเดือนธันวาคม 2567 และสิ้นสุดสิงหาคม 2568 มีองค์กรสมัครเข้าร่วมโครงการ 85 องค์กร และคัดเลือกมาจนเหลือ 22 องค์กร พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนทางเทคนิคแก่องค์กรนำร่อง 3 ครั้ง ด้วยการจัดประชุม อบรม สัมมนา และรับฟังความคิดเห็น

TGO ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ Net Zero

แนวทางการรับรอง Net Zero สามารถทำได้ 2 รูปแบบ คือ Net Zero Pathway สำหรับองค์กรที่ต้องการติดตามผลเป็นระยะ ๆ โดนจะต้องดำเนินการต่อเนื่องเป็นเวลา 5 ปี และมีการทวนสอบ Carbon Footprint องค์กร (CFO) ทุกปี ส่วนการรับรอง Net Zero สำหรับผลิตภัณฑ์, อีเวนต์, บุคคล หรือสำหรับองค์กร จะออกเมื่อทำตาม Pathway จนถึงปีสุดท้ายที่กำหนด

อบก. จะให้ใบรับรองและโลโก้ เมื่อองค์กรสามารถลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้ตามหรือต่ำกว่าเส้นทางที่กำหนดในปีสุดท้าย (ปีที่ 5) โดยการทวนสอบ Net Zero Pathway หรือ Net Zero สามารถทำไปพร้อมกับการทวนสอบ CFO ได้ เนื่องจากรายงาน Net Zero เป็นส่วนหนึ่งของรายงาน CFO ปัจจุบันมีหน่วยงานทวนสอบ 17 แห่งที่สามารถทวนสอบ CFO และ Net Zero Pathway ได้

สำหรับ องค์กรที่เข้าร่วมโครงการนำร่องทั้ง 22 แห่ง สามารถแบ่งออกเป็น 5 กลุ่มอุตสาหกรรม ได้แก่ พลังงานและสาธารณูปโภค 7 องค์กร อาหารและเครื่องดื่ม 5 องค์กร อุตสาหกรรมพื้นฐาน 5 องค์กร ขนส่งและโลจิสติกส์ 3 องค์กร และอื่น ๆ 2 องค์กร โดยมีผลการดำเนินงานตามเป้าหมายโครงการมีดังนี้

กลุ่มพลังงานและสาธารณูปโภค มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 สูงที่สุดเกือบ 80% โดยมีมาตรการหลัก ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานน้ำและโซลาร์ฟาร์ม  มีศักยภาพในการลดก๊าซเรือนกระจกได้มาก การเปลี่ยนเชื้อเพลิง การปรับปรุงประสิทธิภาพกระบวนการผลิต และประสิทธิภาพการใช้พลังงาน คาดว่าจะสามารถบรรลุ Net Zero Pathway ได้ ซึ่งตั้งเป้าหมายปี 2050 เหมือนกันหมด

กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม ใน Scope 3 มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมากที่สุด ที่ 53% โดยมาตรการลดหลักประกอบไปด้วย การปรับปรุงประสิทธิภาพในกระบวนการผลิต การบริหารจัดการระบบบำบัดน้ำเสีย (ผลิตก๊าซชีวภาพ) การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (โซลาร์รูฟท็อป) และการเปลี่ยนเชื้อเพลิง การผลิตก๊าซชีวภาพจากน้ำเสียสามารถลดได้ถึง 25%

อย่างไรก็ตาม กลุ่มอุตสาหกรรมนี้อาจไม่สามารถบรรลุ Net Zero Pathway ได้ หากไม่มีมาตรการที่เข้มข้นกว่าเดิม เนื่องจากยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจุกมากกว่าแนวโน้มการลด

กลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐาน มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจก Scope 1 สูงที่สุด กว่า 70% โดยเฉพาะจากการเผาไหม้และปฏิกิริยาในกระบวนการผลิต เช่น การผลิตปูนซีเมนต์ โดยมีมาตรการลด ได้แก่ การปรับปรุงประสิทธิภาพและเปลี่ยนเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิต เช่น ลดการใช้ถ่านหิน ใช้หินฝุ่นแทนปูนเม็ด ใช้เชื้อเพลิงจากขยะ ในภาพรวมคาดว่าจะสามารถบรรลุ Net Zero Pathway ได้

กลุ่มขนส่งและโลจิสติกส์ Scope 2 มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด (กว่า 80%) โดยมีมาตรการลดหลัก ๆ ได้แก่ การเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน เช่น โซลาร์เซลล์และ Pavegen การปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน เช่น เปลี่ยนหลอด LED บำรุงรักษาระบบปรับอากาศ และการเปลี่ยนเชื้อเพลิงในยานพาหนะ สำหรับอุตสาหกรรมนี้มีความท้าทายมาก และคาดว่าจะไม่สามารถบรรลุ Net Zero Pathway ได้ เนื่องจากช่องว่างระหว่างการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและการลดก๊าซเรือนกระจกห่างกันมาก

กลุ่มธุรกิจอื่น ๆ Scope 2 มีสัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสูงที่สุด กว่า 60% มาตรการลดหลัก  ๆ ได้แก่ โซลาร์รูฟท็อป การบำรุงรักษาและปรับปรุงระบบปรับอากาศ เช่น การเพิ่มอุณหภูมิ การปรับตั้งอัตโนมัติ และการปรับปรุงประสิทธิภาพอื่น ๆ เช่น Cooling Tower หลอดไฟ  และลิฟต์ คาดว่ายังพอมีลุ้นว่าจะสามารถบรรลุ Net Zero Pathway ได้

รศ.ดร.หาญพล ระบุว่าข้อจำกัดของการลดก๊าซเรือนกระจกในภาคอุตสาหกรรมมีหลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการเข้าถึงข้อมูล Scope 3 ยังเป็นเรื่องยากและต้องใช้เวลาในการพัฒนาแนวทางเก็บข้อมูล และการลดการปล่อยก๊าซที่ไม่ได้อยู่ในความควบคุมโดยตรงเป็นประเด็นสำคัญ

ส่วนรถอีวีขนาดใหญ่ยังมีน้อย รวมถึงต้องพิจารณาการหาเส้นทางขนส่งที่เหมาะสม (Root Optimization) และความเร็วที่เหมาะสม เช่น 80 กม./ชม. อีกทั้งรถไฟฟ้ายังไม่เหมาะสมกับงานขนส่งทุกรูปแบบ หากจะเปลี่ยนไปใช้รถเชื้อเพลิงประเภทอื่น เช่น ก๊าซธรรมชาติหรือชีวมวล อาจมีอุปสรรคเรื่องแนวท่อส่งก๊าซหรือแหล่งชีวมวล ทำให้ส่วนใหญ่ยังใช้รถดีเซลอยู่

บางเทคโนโลยีที่จำเป็นยังไม่พร้อมใช้งาน หรือมีต้นทุนการลงทุนสูงเกินไป แต่คาดว่าเทคโนโลยีจะมีการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาไปมากภายในปี 2050

นอกจากนี้ การขยายตัวขององค์กรก็อาจจะทำให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเพิ่มมากขึ้น แต่ขณะเดียวกันด้วยพื้นที่ที่จำกัดก็อาจทำให้ไม่สามารถติดตั้งอุปกรณ์ เช่น โซลาร์เซลล์ เพิ่มได้ จึงไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานสะอาดได้มากไปกว่าเดิม

รศ.ดร.หาญพล เน้นย้ำว่าการมุ่งสู่ Net Zero เป็นความท้าทายที่ต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมและการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ โดยเฉพาะในระดับ “Big Change” ซึ่งอาจต้องรอเทคโนโลยีในอนาคตและนโยบายสนับสนุนจากภาครัฐ

TGO ส่งเสริมภาคอุตสาหกรรม กำหนดเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจก มุ่งสู่ Net Zero