สิงคโปร์รับมือภาษีคาร์บอนพุ่ง จับมือไทยวางดีลคาร์บอนเครดิต คู่แรกอาเซียน

สิงคโปร์มีความต้องการคาร์บอนเครดิตสูงจากนโยบายภาษีคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก จึงลงนามข้อตกลงความร่วมมือกับไทยด้านคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส (มาตรา 6) ถือเป็นคู่แรกในอาเซียน
KEY
POINTS
- ไทยและสิงคโปร์ลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส (มาตรา 6) ถือเป็นคู่แรกในอาเซียน
- ความร่วมมือนี้เปิดโอกาสทางธุรกิจใหม่ให้ไทย โดยสิงคโปร์จะลงทุนในโครงการลดก๊าซเรือนกระจกของไทย เช่น ป่าไม้ เกษตรคาร์บอนต่ำ และการจัดการของเสีย
- สิงคโปร์มีความต้องการคาร์บอนเครดิตสูงจากนโยบายภาษีคาร์บอนที่เพิ่มขึ้น เพื่อให้ภาคธุรกิจนำไปใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
- ไทยมีความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์เนื่องจากเคยเป็นประเทศแรกของโลกที่ถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตสำเร็จภายใต้กลไกเดียวกันนี้กับสวิตเซอร์แลนด์
สภาธุรกิจสิงคโปร์ (Singapore Business Federation: SBF) จัดงาน Singapore Regional Business Forum (SRBF) ครั้งที่ 9 ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ณ กรุงเทพมหานคร เนื่องในโอกาสครบรอบ 60 ปีแห่งความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสิงคโปร์และไทย เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับการเติบโตและการบูรณาการของเอเชีย ภายใต้หัวข้อ "Business Resilience in Asia: Thriving Amid Global Uncertainty and Trade Shifts"
ในฟอรั่มมีช่วงเวลาที่สำคัญคือ การลงนามข้อตกลงความร่วมมือด้านคาร์บอนเครดิตระหว่างรัฐบาลไทยและรัฐบาลสิงคโปร์ ภายใต้มาตรา 6 ของความตกลงปารีส (Paris Agreement) เพื่อใช้กลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถ่ายโอนระหว่างประเทศ (Internationally Transferred Mitigation Outcomes : ITMOs) โดยมี "ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ในนามผู้แทนประเทศไทย ลงนามร่วมกับ "ตัน ซี เหล่ง" รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานและรัฐมนตรีกำกับดูแลด้านพลังงานและวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีประจำกระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม ในฐานะผู้แทนประเทศสิงคโปร์
ถือเป็นก้าวสำคัญที่ไม่เพียงแต่ช่วยรับมือกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ แต่ยังสร้างโอกาสทางธุรกิจระดับภูมิภาค
ไทย-สิงค์โปร์ คู่แรกในอาเซียน
"ดร.พิรุณ สัยยะสิทธิ์พานิช" อธิบดีกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กล่าวว่า ประเทศไทยไม่ใช่ผู้เล่นใหม่ภายใต้มาตรา 6.2 เพราะไทยและสวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศ "คู่แรกของโลก" ที่ดำเนินการถ่ายโอนคาร์บอนเครดิต ภายใต้กลไก ITMOs สำเร็จ ผ่านโครงการ Bangkok E-Bus Programme
สิงคโปร์และไทยจะเป็นประเทศแรกในอาเซียนที่ทำสำเร็จ สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของทั้งสองประเทศที่จะเปลี่ยนจากแนวคิดไปสู่การปฏิบัติ
โอกาสไทยจากสิงคโปร์
"ดร.พิรุณ" กล่าวว่า ไทยตระหนักดีถึงจุดแข็งของสิงคโปร์ ไม่ว่าจะเป็นความเชี่ยวชาญเชิงลึกด้านการเงินและการซื้อขายคาร์บอน โครงสร้างพื้นฐานตลาดที่ทันสมัย หรือเครือข่ายการเชื่อมโยงระดับโลก ความสามารถเหล่านี้ช่วยเติมเต็มศักยภาพของไทยในภาคพื้นที่ได้อย่างลงตัว ก่อให้เกิดความร่วมมือที่พร้อมจะระดมการลงทุน เร่งการดำเนินโครงการ และขยายการสร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูงไปทั่วทั้งภูมิภาค
ไทยมองเห็นโอกาสอันชัดเจนในการร่วมมือใน ภาคส่วนสำคัญ อาทิ
- ป่าไม้และแนวทางแก้ไขปัญหาที่อาศัยธรรมชาติ (Nature-based Solutions): ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิต สร้างคาร์บอนเครดิตคุณภาพสูง และเสริมสร้างความหลากหลายทางชีวภาพ โดยเฉพาะระบบ MRV (การตรวจวัด การรายงาน และการทวนสอบ) ที่สามารถพัฒนาได้ด้วย GIS และเทคโนโลยีตรวจจับระยะไกล เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล
- เกษตรกรรมคาร์บอนต่ำและเกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming): เพิ่มผลผลิต ส่งเสริมการทำเกษตรที่ยั่งยืน และสร้างคาร์บอนเครดิตที่น่าเชื่อถือ
- การจัดการของเสียและเทคโนโลยีขั้นสูง: ตั้งแต่การลดและจัดการขยะอาหาร ไปจนถึงเทคโนโลยีแปรรูปเป็นพลังงาน (Waste-to-Energy: WTE) ที่ทันสมัย
โลกร้อนกระทบห่วงโซ่อุปทานไทย-สิงค์โปร์
"แฟม วี เหว่ย" ผู้อำนวยการ กองบรรเทาการปล่อยคาร์บอน และกองการค้าระหว่างประเทศ (เศรษฐกิจสีเขียวและความยั่งยืน) กระทรวงการค้าและอุตสาหกรรม สิงคโปร์ เปิดเผยว่า ข้อตกลงนี้กับไทยเป็นสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และเป็นกรอบการทำงานสำคัญในการสร้างและถ่ายโอนคาร์บอนเครดิตระหว่างไทยและสิงคโปร์
“การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่เรื่องนามธรรม แต่เป็นความจริงที่กระทบต่อชีวิตประจำวันและเศรษฐกิจของทั้งสิงคโปร์และไทย ไม่ว่าจะเป็นห่วงโซ่อุปทานที่หยุดชะงัก ความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหาร น้ำท่วม คลื่นความร้อน หรือปัญหาสุขภาพ"
ปีที่ผ่านมาสิงคโปร์มีอุณหภูมิเฉลี่ยสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ประเทศไทยก็เผชิญอากาศร้อนจัดกว่า 44 องศาเซลเซียสเช่นกัน การเร่งดำเนินมาตรการด้านสภาพภูมิอากาศจึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่เพียงเพื่อปกป้องประชาชน แต่ยังเพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ภาษีคาร์บอนสิงคโปร์พุ่ง
“แฟม วี เว่ย” กล่าวว่า ความต้องการคาร์บอนเครดิตภายใต้มาตรา 6 กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่เพียงแต่ในสิงคโปร์ แต่ยังขยายไปทั่วทั้งภูมิภาค
ปัจจัยสำคัญที่ผลักดันความต้องการนี้คือ ภาษีคาร์บอนของสิงคโปร์ โดยบริษัทในสิงคโปร์ต้องจ่ายภาษีคาร์บอนหากปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปัจจุบันอยู่ที่ 25 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตัน และจะปรับขึ้นเป็น 50–80 ดอลลาร์สิงคโปร์ต่อตันภายในปี 2030
แต่กฎหมายอนุญาตให้บริษัทสามารถใช้คาร์บอนเครดิตที่ได้รับอนุมัติจากมาตรา 6 มาช่วยลดภาษีได้ ไม่เกิน 5% ทำให้ตลาดนี้เป็นที่ต้องการ โดยเฉพาะธุรกิจสายการบิน ก็ต้องใช้คาร์บอนเครดิตเพื่อทำตามกฎการบินระหว่างประเทศ
รัฐบาลสิงคโปร์ เองก็กำลังซื้อคาร์บอนเครดิตมาใช้ เพื่อลดการปล่อยก๊าซให้ได้ตามเป้าหมายของประเทศ ตอนนี้ทีมที่ดูแลการค้าระหว่างประเทศกำลังจะเปิดรับข้อเสนอ Request for Proposal (RFP) จากโครงการที่ขายคาร์บอนเครดิต ภายในไตรมาส 4 ปีนี้
ไทยได้เปรียบเชิงกลยุทธ์
“แฟม วี เว่ย” กล่าวด้วยว่า เมื่อตลาดคาร์บอนในอาเซียนเติบโตขึ้น ความต้องการบริการที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นการพัฒนาโครงการ การตรวจสอบ การซื้อขายคาร์บอน ตลอดจนบริการทางกฎหมาย การเงิน และที่ปรึกษา จะยิ่งเพิ่มสูงขึ้น เปิดประตูสู่โอกาสใหม่สำหรับธุรกิจในทุกมิติ
สิงคโปร์ได้ลงนามบันทึกความเข้าใจกับหลายประเทศเพื่อนบ้านอย่างลาว กัมพูชา และเวียดนาม ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตของตลาดอย่างแท้จริง แต่ประเทศไทยมีความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ และขอเชิญชวนภาคธุรกิจร่วมพูดคุยกับทั้งรัฐบาลสิงคโปร์และรัฐบาลไทย เพื่อมองหาโอกาสจากความร่วมมือนี้
ใชัมาตรการเมื่อสิงคโปร์และไทยออกคาร์บอนเครดิตร่วมกัน จะมีการกันไว้ 2% เพื่อลบออก จะไม่ได้นำไปขายหรือใช้ เพื่อให้แน่ใจว่ามีการช่วยลดก๊าซเรือนกระจกจริงๆ และจัดสรร 5% เพื่อมาตรการปรับตัว เช่น การป้องกันชายฝั่งหรือจัดหาน้ำสะอาด
การดำเนินการขั้นต่อไป
อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันยัง ไม่มีการโอน ITMOs ที่เกิดขึ้นจริงระหว่างสองประเทศนี้ในขั้นตอนนี้ — เป็นเพียงการวางกรอบความร่วมมือ แต่จากนี้จะมีการดำเนินการต่างๆ เช่น
- เปิดรับใบสมัครโครงการเพื่อใช้ประโยชน์จากข้อตกลง
- สิงคโปร์เตรียมจัดคณะผู้แทนการค้าไปไทยเพื่อจับคู่ธุรกิจและสร้าง pipeline โครงการคุณภาพสูง
ทำความเข้าใจคาร์บอนเครดิต ‘รัฐกับรัฐ’
หนึ่งในกลไกสำคัญของความตกลงปารีสคือ มาตรา 6 คือ Internationally Transferred Mitigation Outcomes (TMOs) หรือ “คาร์บอนเครดิตภาครัฐตามมาตรา 6” ซึ่งเปิดโอกาสให้ประเทศต่างๆ ร่วมมือกันบรรลุเป้าหมาย โดยกำหนดกฎเกณฑ์ชัดเจนในการใช้ตลาดคาร์บอน เพื่อสร้างความโปร่งใส และป้องกันการนับซ้ำของการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ประโยชน์ของ ITMOs เชิงเศรษฐกิจ คือ ช่วยลดต้นทุนรวมของการดำเนินงานด้านสภาพภูมิอากาศ และทำให้ประเทศต่างๆ บรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น หากสิงคโปร์สนับสนุนเงินทุนแก่โครงการดูดซับคาร์บอนในประเทศไทย สิงคโปร์ก็สามารถได้รับคาร์บอนเครดิตจากผลลัพธ์เหล่านั้น โดยโครงการเหล่านี้อาจอยู่ในด้านการคมนาคมด้วยไฟฟ้า (e-mobility) การจัดการของเสีย และป่าไม้ ไทยสามารถรับเงินลงทุนจากสิงคโปร์ ขณะที่สิงคโปร์ก็ได้รับคาร์บอนเครดิตเพื่อนำไปชดเชยการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ย้อนดู ITMOs ไทยกับสวิตเซอร์แลนด์
- ในวันที่ 24 มิถุนายน 2022 มีการลงนามในข้อตกลงซื้อ ITMOs ระหว่าง Energy Absolute (โครงการในประเทศไทย) กับ KliK Foundation (ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์)
- หลังจากผ่านการตรวจสอบและยืนยัน (monitoring, verification) แล้ว มีการโอน 1,916 ITMOs ไปยังบัญชีของ KliK Foundation ในทะเบียนการซื้อขายของสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ 15 ธันวาคม 2023
- นับเป็น การโอน ITMOs ครั้งแรกในโลก ภายใต้มาตรา 6.2 สำหรับใช้บรรลุเป้าหมาย NDC







