ส่อ พ.ร.บ.อากาศสะอาด ตัดกองทุนฯผู้ก่อมลพิษจ่าย เสี่ยงกฎหมายแก้มลพิษไม่ได้

ส่อแวว "หมวด 6 กองทุนอากาศสะอาด" ถูกตัดจากร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด ไม่มีกลไก "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช เผย จะทำให้กฎหมาไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษและฝุ่น PM2.5 ได้อย่างยั่งยืน
KEY
POINTS
- ส่อแวว "หมวด 6 กองทุนอากาศสะอาด" ถูกตัดจากร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาด
- กองทุนดังกล่าวใช้หลักการสากล "ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย" (Polluter Pays Principle) เพื่อเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการคุณภาพอากาศ
- การตัดกองทุนฯ ออกไปจะทำให้กฎหมายขาดกลไกทางการเงินที่สำคัญ ส่งผลให้ไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษและฝุ่น PM2.5 ได้อย่างยั่งยืน และอาจกลายเป็นกฎหมายที่ "ไร้พลัง"
- รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช ชี้ว่ากองทุนสิ่งแวดล้อมที่มีอยู่เดิมไม่สามารถทดแทนได้ เนื่องจากมีข้อจำกัดหลายด้านและไม่พร้อมสำหรับมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ในกฎหมายใหม่
ร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด พ.ศ. … เป็นกฎหมายที่สังคมไทยจับตามอง เพราะถูกคาดหวังว่าจะเป็นกรอบสำคัญในการจัดการปัญหามลพิษทางอากาศ และฝุ่นพิษ PM2.5 อย่างยั่งยืน โดยร่างกฎหมายฉบับนี้ได้ปิดการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียไปแล้วเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม 2568 มีผู้เข้าร่วมกว่า 2,602 คน ซึ่งกว่า 93% เห็นพ้องว่าควรมีกลไกสำคัญอย่าง “กองทุนอากาศสะอาด” อยู่ในเนื้อหา เพื่อให้กฎหมายนี้สามารถเดินหน้าได้จริง
จุดหักเห: ส่อถอด “กองทุนอากาศสะอาด”
ล่าสุดเกิดแรงสั่นสะเทือนในกระบวนการยกร่างกฎหมาย เมื่อมีรายงานว่า กรรมาธิการจากฝั่งคณะรัฐมนตรีขอสงวนคำแปรญัตติเพื่อตัด “หมวด 6 กองทุนอากาศสะอาด” ออกจากร่าง พ.ร.บ. โดยยังไม่มีการให้เหตุผลเชิงวิชาการอย่างชัดเจน
หมวด 6 “กองทุนอากาศสะอาด” ถือเป็นหัวใจสำคัญของร่างกฎหมาย เนื่องจากออกแบบมาเพื่อเป็นเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการจัดการคุณภาพอากาศ โดยยึดหลักการสากล “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) รายได้จากกองทุนจะถูกนำไปใช้สนับสนุนมาตรการควบคุมมลพิษ การปรับเปลี่ยนสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ
ถอดเขี้ยวเล็บของกฎหมาย
"รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช" อาจารย์ประจำภาควิชาเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ. อากาศสะอาดฯ ได้แสดงความกังวลต่อการเคลื่อนไหวดังกล่าว โดยระบุว่า “นี่คือการถอดเขี้ยวเล็บ” ของกฎหมาย และเป็นการเพิกเฉยต่อเสียงประชาชน
“การตัดกองทุนอากาศสะอาด จะไม่มีกลไกทางการเงิน ซึ่งเป็นหัวใจของการใช้เครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ จะทำให้กฎหมายไม่สามารถแก้ปัญหามลพิษทางอากาศได้จริง เพราะหลักผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays Principle) จะไม่เกิดขึ้นตามหลักการสากลที่ประเทศที่เป็นแบบอย่างที่ดีปรับใช้ จะไม่สามารถช่วยเหลือผู้ก่อมลพิษให้เปลี่ยนผ่านไปสู่การผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและอากาศสะอาดได้จริง และจะไม่มีรายได้หมุนเวียนมาแก้ไขปัญหาอย่างยั่งยืน”
กองทุนสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมีจุดอ่อนหลายด้าน
"รศ.ดร.วิษณุ" แสดงความเห็นด้วยว่า ทางหน่วยงานน่าจะคิดว่าสามารถใช้กองทุนสิ่งแวดล้อมเดิมได้ แต่จริงๆ ประเด็นนี้คณะกรรมาธิการร่วมกับผู้เชี่ยวชาญได้หารือกันหลายครั้งมาก และพบว่ากองทุนสิ่งแวดล้อมปัจจุบันมีจุดอ่อนหลายด้าน และท้ายสุดคณะกรรมาธิการเกือบทั้งหมดเห็นว่าควรมีกองทุนอากาศสะอาด
“กองทุนสิ่งแวดล้อมเดิมที่มีอยู่แล้วนั้นมีข้อจำกัดมาก ทั้งการพึ่งพางบประมาณแผ่นดิน ทำให้การแก้ปัญหาที่ล่าช้า ไม่ต่อเนื่อง ขาดกลไกรับมือฉุกเฉินกับปัญหามลพิษทางอากาศรวมถึงฝุ่นพิษ PM2.5 เงินไม่พอในการแก้ไขปัญหา มีการบริหารแบบรวมศูนย์ทำให้ขาดการมีส่วนร่วมของประชาชน และที่สำคัญไม่พร้อมสำหรับการนำเครื่องมือและมาตรการทางเศรษฐศาสตร์ใน ร่าง พรบ. อากาศสะอาดฯ มาใช้”
ถึงเวลาเรียกร้องสิทธิหายใจ
"รศ.ดร.วิษณุ" ย้ำว่า กองทุนอากาศสะอาดไม่ใช่ความซ้ำซ้อน แต่คือการปฏิรูปครั้งสำคัญ หากไม่มี กลไกทางการเงินที่จะทำให้กฎหมายมีชีวิตจริงก็จะหายไป
ข้อเรียกร้องครั้งนี้จึงไม่ใช่เพียงประเด็นทางเทคนิคของร่างกฎหมาย แต่คือสิทธิขั้นพื้นฐานของคนไทยทุกคนที่จะได้หายใจในอากาศสะอาด ถ้าไม่มีกองทุนอากาศสะอาด ผลลัพธ์คือคนไทยจะยังคงเสี่ยงต่อโรคทางเดินหายใจ มะเร็ง และโรคร้ายแรงที่มาจากฝุ่น PM2.5 ต่อไปไม่รู้จบ
ทำไมกองทุนอากาศสะอาดจึงสำคัญ?
กองทุนอากาศสะอาดถือเป็น หัวใจเชิงเศรษฐศาสตร์ ของร่างกฎหมายฉบับนี้ เพราะสร้างกลไกทางการเงินถาวรที่จะทำให้หลักการ “ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย” (Polluter Pays Principle) เกิดขึ้นจริง รายได้จากกองทุนสามารถนำไปใช้เพื่อ:
- กระตุ้นให้ผู้ประกอบการปรับตัวไปสู่การผลิตที่สะอาดขึ้น
- สนับสนุนมาตรการควบคุมมลพิษและเทคโนโลยีใหม่
- เยียวยาประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาฝุ่นพิษ
- สร้างระบบรับมือฉุกเฉินเมื่อเกิดวิกฤติคุณภาพอากาศ
วิเคราะห์ผลกระทบ
การถอดกองทุนอากาศสะอาดออกจากร่าง พ.ร.บ. ไม่ได้เป็นเพียงการเปลี่ยนถ้อยคำในกฎหมาย แต่หมายถึงการตัดทอนกลไกที่สำคัญที่สุดในการทำให้กฎหมายบังคับใช้ได้จริง ดังนี้
- เชิงเศรษฐศาสตร์: ไม่มีแรงจูงใจหรือบทลงโทษทางการเงินต่อผู้ก่อมลพิษ
- เชิงสิ่งแวดล้อม: ไม่สามารถลงทุนแก้ปัญหามลพิษเชิงระบบและระยะยาวได้
- เชิงสังคม: ประชาชนยังคงต้องเผชิญอากาศพิษและผลกระทบสุขภาพโดยไร้ความหวังใหม่
- เชิงนโยบาย: ทำให้ พ.ร.บ. ที่ถูกคาดหวังสูง อาจจบลงด้วยการเป็นกฎหมายที่ “ไร้พลัง”







