Cooler Earth 2025 กระตุกธุรกิจไทย ไม่แค่ 'พูด' เรื่องยั่งยืน แต่ต้องทำให้เห็น

ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จัดงานเสวนา “Cooler Earth Thailand 2025” เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนจากการพูดเรื่องความยั่งยืนมาสู่การลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม พร้อมเปิดตัวโครงการที่ปรึกษา “Sustainability360”
KEY
POINTS
- ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จัดงานเสวนา “Cooler Earth Thailand 2025” เพื่อกระตุ้นให้ภาคธุรกิจไทยเปลี่ยนจากการพูดเรื่องความยั่งยืนมาสู่การลงมือทำอย่างเป็นรูปธรรม
- เปิดตัวโครงการที่ปรึกษา “Sustainability360” เพื่อช่วยให้ธุรกิจวางแผนและเข้าถึงแหล่งเงินทุนเพื่อความยั่งยืน เช่น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืน
- การขับเคลื่อนนี้สอดรับกับโมเดลเศรษฐกิจ BCG ของประเทศ และตอบสนองต่อแรงกดดันจากนักลงทุนที่ต้องการเห็นผลลัพธ์ด้านความยั่งยืนที่โปร่งใสและตรวจสอบได้
ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย (CIMB) จัดงานเสวนาความยั่งยืนประจำปี “The Cooler Earth Thailand 2025” ครั้งที่ 3 ในธีม "Warmer Ventures" โดยในปีนี้จัดขึ้นร่วมกับหอการค้ามาเลเซียในประเทศไทย เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนแนวคิดและแนวทางปฏิบัติด้านความยั่งยืนระดับภูมิภาค ภายในงานยังมีการเปิดตัวโครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน “Sustainability360” ซึ่งมุ่งสนับสนุนภาคธุรกิจในการขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนข้ามพรมแดน พร้อมทั้งยกระดับความร่วมมือในระดับภูมิภาคอย่างเป็นรูปธรรม
มาเลเซีย-ไทย ผสานผู้ประกอบการกับความยั่งยืน
"ดร. ฮุย คิม บู" รองประธานหอการค้ามาเลเซีย-ไทย (MTCC) ได้กล่าวต้อนรับผู้เข้าร่วมงานสัมมนาว่า Cooler Earth Summit เป็นแพลตฟอร์มหลักของกลุ่มซีไอเอ็มบี กรุ๊ป มาเลเซีย ซึ่งได้เป็นผู้บุกเบิกด้านการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและการพัฒนาที่ยั่งยืนผ่านนวัตกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง
ในปีนี้ ซีไอเอ็มบี ไทย ได้ให้เกียรติเชิญ MTCC และคณะกรรมการสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการของ MTCC มาร่วมจัดงานในประเทศไทย จุดประสงค์ของงานคือการ ผสานรวมพลังของสตาร์ทอัพเข้ากับการเงินที่มีจริยธรรมและโมเดลธุรกิจที่เป็นมิตรต่อโลก
"MTCC ก่อตั้งขึ้นเพื่อเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและไทย ปัจจุบัน คณะกรรมการสตาร์ทอัพและผู้ประกอบการภายใน MTCC มีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมนวัตกรรมข้ามพรมแดน บ่มเพาะกิจการระยะเริ่มต้น และสนับสนุนผู้ประกอบการให้สามารถส่งมอบโซลูชั่นที่ยั่งยืนและขยายผลได้"
ภารกิจนี้สอดคล้องอย่างสมบูรณ์แบบกับวาระของงานในวันนี้ ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ รูปแบบเศรษฐกิจหมุนเวียนภายใต้แนวคิด BCG ในส่วนแรก ไปจนถึงความร่วมมือระหว่างองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร (NGO) และภาคเอกชน รวมถึงโซลูชั่นการคมนาคมไฟฟ้า (e-mobility)
โครงการ Sustainability360
“วุธว์ ธนิตติราภรณ์” กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย กล่าวว่า ปัจจุบันภาครัฐให้ความสำคัญกับเรื่องสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนมากขึ้น โดยมีนโยบายที่ผลักดันให้เกิดการเปิดเผยข้อมูลในเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน ขณะเดียวกันนักลงทุนต่างชาติโดยเฉพาะในอาเซียนก็เริ่มมองหาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เพื่อรองรับกระแสที่กำลังเกิดขึ้น ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย จึงได้เปิดตัวโครงการ “Sustainability360” บริการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืนแบบครบวงจร ที่จะช่วยให้ธุรกิจในประเทศไทยพร้อมรับมือกับความเปลี่ยนแปลง โดยอาศัยความแข็งแกร่งของกลุ่มซีไอเอ็มบี ทั้งในด้านข้อมูลเชิงลึกระดับภูมิภาคและเครือข่ายที่เชื่อมโยงทั่วอาเซียน โครงการนี้ยังสะท้อนบทบาทของซีไอเอ็มบี ไทย ในฐานะพันธมิตรที่พร้อมเดินเคียงข้างธุรกิจไทย สู่การเติบโตที่ยั่งยืนและส่งผลดีต่อทั้งสังคมและสิ่งแวดล้อม
Sustainability360 ESG คือบริการที่ต่อยอดจากความเชี่ยวชาญของธนาคารในด้าน ESG (Environmental, Social and Governance) โดยมุ่งช่วยลูกค้าธุรกิจและองค์กรต่าง ๆ วางแผนและออกแบบโครงสร้างทางการเงินเพื่อความยั่งยืน เช่น ตราสารหนี้สีเขียว (Green Bonds), ตราสารเพื่อสังคม (Social Bonds),
ตราสารเพื่อความยั่งยืน (Sustainability Bonds) และตราสารที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายความยั่งยืน (Sustainability-linked Instruments) ซึ่งครอบคลุมทุกขั้นตอน ตั้งแต่การวางกรอบให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล การขอความเห็นจากผู้เชี่ยวชาญภายนอก (Second-Party Opinion) ไปจนถึงการรายงานผลกระทบอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้
“โครงการนี้ยังเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายกลุ่มซีไอเอ็มบี ที่ตั้งใจจะระดมทุนเพื่อการเงินที่ยั่งยืนให้ได้ถึง 300,000 ล้านริงกิต หรือประมาณ 2.3 ล้านล้านบาท ภายในปี 2573 เราอยากช่วยให้ลูกค้าสามารถนำแนวคิดด้านความยั่งยืนไปปรับใช้ในธุรกิจของตัวเองได้จริง เพื่อร่วมกันผลักดันเศรษฐกิจไทยให้เติบโตอย่างแข็งแรง ยืดหยุ่น และยั่งยืนไปพร้อมกัน”
หอการค้าไทย ดัน BCG รับวิกฤติสิ่งแวดล้อม
"กฤษฎา เรืองโชติวิทย์" กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและสิ่งแวดล้อม ภายใต้สายงาน Sustainability สภาหอการค้าไทย กล่าวในหัวข้อ “BCG Model: Transforming Thailand’s Business Ecosystem” ว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่ให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี ที่เน้นการเติบโตควบคู่ความมั่นคงและยั่งยืน
โลกเผชิญความท้าทายจากการใช้ทรัพยากรที่สิ้นเปลือง และรูปแบบการผลิตเดิมที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกกว่า 70% จากภาคธุรกิจ ส่งผลให้อุณหภูมิโลกสูงขึ้น กระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพ เช่น ปะการังที่อาจสูญพันธุ์ถึง 99% นำไปสู่ปัญหาอาหาร ยา และทรัพยากรของมนุษย์ในระยะยาว
นอกจากนี้ ยังมีปัญหาสังคมจากความไม่เท่าเทียมและภัยธรรมชาติที่รุนแรงขึ้น เช่น การพลัดถิ่นหรือสูญเสียสิทธิพื้นฐานในการใช้ชีวิต
เพื่อรับมือกับสถานการณ์นี้ ประเทศไทยจึงใช้โมเดล BCG Economy (Bio-Circular-Green Economy) เป็นแนวทางหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน ดังนี้
- Bio Economy: ใช้เทคโนโลยีชีวภาพและทรัพยากรทางธรรมชาติ เช่น การเพิ่มมูลค่าสินค้าเกษตร
- Circular Economy: เปลี่ยนจากแนวคิดใช้แล้วทิ้ง เป็นการใช้ซ้ำ เช่น ถุงน้ำยาล้างไตรีไซเคิลเป็นแผ่นพื้น
- Green Economy: ลดมลพิษ สร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ผ่านแนวคิด Nature Positive
"กฤษฎา" อธิบายว่า โมเดล BCG แบ่งการขับเคลื่อนออกเป็น 3 ระยะ คือ
- ระยะที่ 1: ปูพื้นฐาน (เริ่มปี 2564) เช่น จัดตั้ง Sandbox ที่สระบุรี ภูเก็ต และระยอง พัฒนาแนวคิดแยกขยะที่ต้นทาง ลดการใช้พลาสติกแบบใช้ครั้งเดียว
- ระยะที่ 2: ขยายผลสู่ตลาด เช่น เกษตรแม่นยำด้วย AI, รีไซเคิลในวงการแพทย์, โซลาร์เซลล์ลอยน้ำ, EV และการท่องเที่ยวแบบยั่งยืน
- ระยะที่ 3: สู่เวทีโลก ผลักดันผลิตภัณฑ์ BCG ไทยสู่ตลาดต่างประเทศ พร้อมรับมือกฎคาร์บอนใหม่อย่าง CBAM
“แม้การเปลี่ยนแปลงจะไม่ง่าย แต่เป็นโอกาสสำคัญในการสร้างเศรษฐกิจที่มั่นคง ยั่งยืน และสร้างประโยชน์ที่แท้จริงให้ชุมชนและประเทศในระยะยาว”
นักลงทุนต้องการมากกว่า ESG บนกระดาษ
"เจสัน ลี" หัวหน้าฝ่ายความยั่งยืน ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เปิดเผยว่า ทุกวันนี้ภาคธุรกิจในประเทศไทยกำลังเผชิญกับแรงกดดันและความคาดหวังที่สูงขึ้นจากทั้งนักลงทุน หน่วยงานกำกับดูแล และผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในทุกภาคส่วน
ดังนั้น การพูดถึงเรื่องความยั่งยืนในแบบกว้างๆ หรือคลุมเครือจึงไม่เพียงพออีกต่อไป สิ่งสำคัญของการดำเนินงานด้านความยั่งยืนในยุคนี้ คือ ต้องทำให้เห็นได้จริง มีความโปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้
โครงการที่ปรึกษาด้านความยั่งยืน “Sustainability360” ของซีไอเอ็มบี ไทย จึงถูกออกแบบมาเพื่อตอบโจทย์นี้โดยเฉพาะ โดยมีทีมผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายสาขา ไม่ว่าจะเป็นด้านการเงินและการระดมทุน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กฎหมาย และกฎระเบียบที่เกี่ยวข้อง มาทำงานร่วมกัน เพื่อช่วยให้ลูกค้าธุรกิจสามารถบริหารจัดการเงินทุนเพื่อความยั่งยืนซึ่งมีความซับซ้อนมากขึ้นได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งออกแบบโครงสร้างทางการเงินและรายงานผลกระทบที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น การจัดกลุ่มกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Taxonomy alignment) และความต้องการของนักลงทุนที่ให้ความสำคัญกับ ESG
ตั้งแต่ที่ธนาคาร ซีไอเอ็มบี ไทย เริ่มเดินหน้าด้านความยั่งยืนอย่างจริงจัง ก็ได้รับการยอมรับในระดับภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง ในปี 2567 ที่ผ่านมา ธนาคารได้รับรางวัลอันทรงเกียรติ Best Sustainability-Linked Loan – Scope 1 & 2 จากงาน The Digital Banker’s Global Sustainable Finance Awards สำหรับการจัดโครงสร้างสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนมูลค่า 3,000 ล้านบาท โดยมีการตั้งเป้าหมายลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างเข้มข้นและชัดเจน
ในปีเดียวกัน ซีไอเอ็มบี ไทย ยังได้รับรางวัล Sustainability Rising Star จากเวที Asia Corporate Excellence & Sustainability (ACES) Awards ตอกย้ำบทบาทผู้นำด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ขับเคลื่อนด้วยแนวคิดความยั่งยืนในประเทศไทย
นอกจากนี้ ในเดือนตุลาคม 2567 ธนาคารยังสร้างอีกหนึ่งก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ของวงการการเงินไทย ด้วยการออกหุ้นกู้สีเขียวด้อยสิทธิ์ (Subordinated Green Bond) เป็นครั้งแรกในประเทศไทย มูลค่า 2,000 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายเพื่อระดมทุนสำหรับโครงการพลังงานหมุนเวียน และระบบขนส่งที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายสำคัญของการขับเคลื่อนสู่อนาคตที่ยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม







