C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทายในปัจจุบันทางด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือเศรษฐกิจ ที่มุ่งบูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด พร้อมขับเคลื่อนซัพพลายเชน

ปัจจุบันห่วงโซ่อุปทานทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทายรอบด้านอันเป็นผลจากวิกฤติการณ์ระดับโลกที่กำลังเกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็น ความรุนแรง และความถี่ของเหตุการณ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเข้มข้นของข้อกำหนด กฎหมาย และความขัดแย้งระหว่างประเทศ

"เครือเจริญโภคภัณฑ์(C.P. Group) ในฐานะองค์กรชั้นนำระดับโลกที่ให้ความสำคัญกับการสร้างห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแกร่งและยั่งยืน ได้ร่วมเสวนา หัวข้อ "From Risk to Resilience Reinventing Thailand's Supply Chain for the Future" ในงานมหกรรมความยั่งยืนระดับชาติ "GCNT Expo 2025" เมื่อวันที่ 30 กรกฎาคม 2568

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน

นายสมเจตนา ภาสกานนท์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนาความยั่งยืน สำนักบริหารความยั่งยืน ธรรมาภิบาลและสื่อสารองค์กร บริษัท เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ได้เน้นย้ำถึงภูมิทัศน์ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปของระบบห่วงโซ่อุปทาน อันเป็นผลจากการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัล แนวโน้มการลดระดับโลกาภิวัตน์ และแรงกดดันในการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก โดย C.P. Group ได้วางกลยุทธ์เชิงรุก เพื่อรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายดังกล่าว เริ่มต้นด้วยการกำหนดและประกาศใช้เป้าหมายในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ และการร่วมมือกับคู่ค้าเพื่อสร้างห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่น ยั่งยืน และสามารถตอบโจทย์อนาคตได้อย่างแท้จริง

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน

แนวโน้ม ดิจิทัล-โลกาภิวัตน์-คาร์บอน

"นายสมเจตนา" กล่าวว่า ปัจจัยสำคัญสามประการ หรือ "3Ds" ส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อทั้งองค์กรและการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับองค์กรที่มีเครือข่ายคู่ค้าอยู่ทั่วโลก

  • Digitalization & AI (การเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล และ AI) พลังคู่ขนานนี้กำลังสร้าง "Digital Divide" หรือช่องว่างทางดิจิทัล ซึ่งทำให้องค์กรที่ไม่สามารถใช้ประโยชน์จากเครื่องมือดิจิทัลและ AI ได้อย่างเต็มที่ต้องเสียเปรียบในการแข่งขัน ถ้าองค์กรใดไม่สามารถเข้าถึงและใช้ประโยชน์จากดิจิทัลและ AI ได้ดีที่สุด ก็จะแข่งขันได้ยาก
  • Deglobalization (การลดโลกาภิวัตน์) แนวโน้มนี้มาพร้อมกับมาตรการกำแพงภาษีและไม่ใช่กำแพงภาษีที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบอย่างมากต่อองค์กรที่มีซัพพลายเชนทั่วโลกและมีการจัดหาวัตถุดิบจากทั่วโลก
  • Decarbonization (การลดคาร์บอน) ตัวขับเคลื่อนที่สำคัญซึ่งบีบให้องค์กรต่างๆ ต้องผูกมัดกับเป้าหมายการลดคาร์บอนระดับโลก เช่น Carbon Neutral (ความเป็นกลางทางคาร์บอน) และ Net Zero (การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์)

 ซัพพลายเชนยั่งยืน

"นายสมเจตนา" กล่าวด้วยว่า C.P. Group ตระหนักถึงความคาดหวังที่เปลี่ยนแปลงไปของผู้มีส่วนได้เสียอย่างลึกซึ้งในฐานะสมาชิกของ United Nations Global Compact (UNGC) ซึ่งเป็นเครือข่ายความร่วมมือด้านความยั่งยืนภาคธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกกว่า 20,000 องค์กรทั่วโลก โดยไม่ได้เพียงแค่เรียกร้องให้สมาชิกให้คำมั่นตามหลักการสากล 10 ประการเท่านั้น แต่ยังต้องนำหลักการเหล่านั้นไปปฏิบัติจริงและรายงานความก้าวหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ด้วยเหตุนี้ C.P. Group จึงมุ่งขับเคลื่อนความยั่งยืนให้ครอบคลุมทั้งภายในองค์กรตลอดทั้งห่วงโซ่คุณค่า ซึ่งรวมถึงคู่ค้ากว่า 30,000 รายทั่วโลก

"การทำงานร่วมกับคู่ค้า ถือเป็นรากฐานสำคัญของกลยุทธ์ด้านความยั่งยืนของ C.P. Group โดยเครือฯ พยายามส่งเสริมให้คู่ค้าตระหนักถึงความสำคัญของการบริหารจัดการความเสี่ยงตลอดห่วงโซ่อุปทาน เพิ่มประสิทธิภาพ ลดต้นทุน และยกระดับสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ทั้งนี้ การหารือกับคู่ค้าในอนาคตจะไม่จำกัดเฉพาะประเด็นด้านปริมาณ คุณภาพ หรือระยะเวลาส่งมอบเท่านั้น แต่จะครอบคลุมถึงประเด็นใหม่ เช่น คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของสินค้า (Embedded Carbon)ด้วย"

นายสมเจตนา กล่าว เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านของคู่ค้าสู่ความยั่งยืน C.P. Group ได้จัดกิจกรรมเฉพาะสำหรับคู่ค้าภายใต้ 3 หัวข้อหลัก ได้แก่

  1. การจัดการห่วงโซ่อุปทานอย่างรับผิดชอบ
  2. การลดคาร์บอน (Decarbonization) และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)
  3. การปกป้องสิทธิมนุษยชนในห่วงโซ่อุปทาน

"เราเห็นแนวโน้มชัดเจนว่านักลงทุน และสถาบันการเงินให้ความสำคัญกับการประเมินด้านความยั่งยืน (ESG Rating) มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยก็กำลังปรับเกณฑ์การประเมินให้สอดคล้องกับมาตรฐานของ FTSE Russell ซึ่งจะส่งผลให้ประเด็นด้านความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมในห่วงโซ่อุปทานกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญของการประเมินองค์กร องค์กรที่ดำเนินงานด้านนี้จะต้องเปิดเผยข้อมูลอย่างโปร่งใสต่อสาธารณะ เพราะนักลงทุนกำลังจับตาอย่างใกล้ชิดในทุกมิติ ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการจัดการห่วงโซ่อุปทาน"

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน

กลยุทธ์การรับมือความท้าทาย

C.P. Group มียุทธศาสตร์ด้านความยั่งยืนที่ครอบคลุมในหลายมิติ ที่เป็นแนวทางหลักสำหรับทุกกลุ่มธุรกิจทั้ง 8 สายใน 23 ประเทศทั่วโลก โดย "นายสมเจตนา" อธิบายว่า กลยุทธ์ดังกล่าวมุ่งเน้นในประเด็น ESG (Environmental, Social, and Governance) และสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) ทั้ง17 ข้อของสหประชาชาติ โดยมีเป้าหมายสำคัญ คือการบรรลุ Carbon Neutrality และ Net Zero Emissions

"เราเชื่อว่าเป้าหมายการลดคาร์บอนไม่ใช่แค่ความท้าทาย แต่คือโอกาสทางธุรกิจที่ยิ่งใหญ่ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของ C.P. Group ลง 1 ล้านตัน จากทั้งหมด 6 ล้านตัน สามารถประหยัดต้นทุนพลังงานได้ราว 57,000 ล้านบาท ดังนั้น การลดได้ 10% เท่ากับเป็นผลประโยชน์สุทธิที่เกิดจากการควบคุมต้นทุน และหากคู่ค้าของเราสามารถลดได้พร้อมกัน ผลประโยชน์ก็จะยิ่งขยายตัว นี่คือความท้าทายที่มาพร้อมกับโอกาสอย่างแท้จริง"

ในการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์นี้ C.P. Group ใช้กรอบการดำเนินงานที่หลากหลายเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในทุกมิติ โดยเน้นการทำงานร่วมกับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และภาคประชาสังคม พร้อมตระหนักว่าการใช้เทคโนโลยีเป็นกุญแจสำคัญในการผลักดันการเปลี่ยนผ่านสู่ความยั่งยืน

C.P. Group มองว่าความท้าทายในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นด้านสิ่งแวดล้อม สังคม หรือเศรษฐกิจ ล้วนเป็นทั้งวิกฤติและโอกาสในการเติบโต จึงมุ่งบูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าสู่ห่วงโซ่อุปทานทั้งหมด พร้อมร่วมมือกับคู่ค้าเพื่อสร้างการเติบโตร่วมกันอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว

C.P. Group เผยกลยุทธ์รับมือความท้าทาย ขับเคลื่อนซัพพลายเชนสู่ความยั่งยืน