'เอกนัฏ' เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรม สะสางธุรกิจศูนย์เหรียญ ปูทางเศรษฐกิจยั่งยืน

'เอกนัฏ' เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรม สะสางธุรกิจศูนย์เหรียญ ปูทางเศรษฐกิจยั่งยืน

สงครามการค้าและภาษี 19% ของสหรัฐฯ แม้ไทยได้เปรียบด้านอัตรา แต่ยังมีเงื่อนไขที่ต้องระวัง มาตรการปกป้องธุรกิจไทย จัดการ “อุตสาหกรรมสีเทา” ที่ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ เตรียมออก พ.ร.บ.การจัดการอุตสาหกรรม เน้นเศรษฐกิจหมุนเวียน

KEY

POINTS

  • Climate Change กลายเป็นปัจจัยแข่งขันทางการค้าและพฤติกรรมผู้บริโภค
  • สงครามการค้าและภาษี 19% ของสหรัฐฯ แม้ไทยได้เปรียบด้านอัตรา แต่ยังมีเงื่อนไขที่ต้องระวัง
  • มาตรการปกป้องธุรกิจไทย จัดการ “อุตสาหกรรมสีเทา” ที่ไม่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจ
  • เตรียมออก พ.ร.บ.การจัดการอุตสาหกรรม ร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น เน้นเศรษฐกิจหมุนเวียนและการจัดการขยะอุตสาหกรรม

ในยุคที่โลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งจากวิกฤติเศรษฐกิจ วิกฤตพลังงาน และภัยคุกคามจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การปฏิรูปอุตสาหกรรมสีเขียว” ได้กลายเป็นคำตอบสำคัญสำหรับอนาคตของประเทศไทย การยกระดับภาคอุตสาหกรรมให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม ควบคู่ไปกับนวัตกรรม เทคโนโลยีสะอาด และหลักการเศรษฐกิจหมุนเวียน ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติ แต่ยังเปิดโอกาสใหม่ให้เศรษฐกิจไทยสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้อย่างยั่งยืนและมีคุณค่าในระยะยาว

“เอกนัฏ พร้อมพันธุ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ "Industrial Reform: Steering Thailand Economy under Structural Destructions" ในงาน Krungsri-MUFG Business Forum 2025 ซึ่งจัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสครบรอบ 80 ปีของธนาคารกรุงศรี โดยเน้นย้ำ 3 ประเด็นหลัก ได้แก่ สถานการณ์ความเปลี่ยนแปลงของโลกในปัจจุบัน, แนวทางการปกป้องธุรกิจและอุตสาหกรรมไทยเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลง และแนวทางการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมไทยให้กลับมาเป็นเครื่องยนต์สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจต่อไป

ความท้าทายและโอกาส

“เอกนัฏ” ชี้ให้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างชัดเจน อาทิ

  • การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ส่งผลให้เกิดปัญหาหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะ
  • สังคมสูงวัย (Silver Economy) ที่ส่งผลกระทบต่อผลิตภาพภาคการผลิต
  • การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ซึ่งไม่ใช่แค่เรื่องของ "คนรักโลก" อีกต่อไป แต่กลายเป็นเกณฑ์สำคัญที่ส่งผลต่อการแข่งขันและการค้า รวมถึงพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้เลือกซื้อสินค้าที่ถูกที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่ยังคำนึงถึงสินค้าที่ผลิตอย่างมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม
  • สงครามการค้าและกำแพงภาษี โดยเฉพาะประเด็นเรื่องอัตราภาษี 19% ที่สหรัฐฯ ประกาศใช้ แม้จะเป็นข่าวดีในระดับหนึ่งที่อัตราภาษีของไทยอยู่ในระดับต่ำสุดในภูมิภาคอาเซียนและทำให้ไม่เสียเปรียบ แต่ความไม่แน่นอนยังคงมีอยู่ เนื่องจากอัตราภาษี 19% ของไทย, 19% ของอินโดนีเซีย, หรือ 20% ของเวียดนาม มาพร้อมเงื่อนไขที่กำหนดโดยสหรัฐฯ ว่าสินค้าที่ส่งออกจะต้องเป็นสินค้าที่ผลิตในประเทศต้นทางอย่างแท้จริง มิฉะนั้นจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตราพิเศษที่สูงขึ้น
     

จาก "ตั้งรับ" สู่ "ขับเคลื่อน"

แทนที่จะมัวกังวลกับสิ่งที่อยู่เหนือการควบคุม “เอกนัฏ” เสนอว่า ถึงเวลาที่ต้องหันมาให้ความสำคัญกับสิ่งที่ใกล้ตัวและสามารถดำเนินการได้ทันที โดยได้ประกาศมาตรการสำคัญในการปกป้องธุรกิจและเศรษฐกิจไทยตั้งแต่เข้ารับตำแหน่ง ได้แก่

  • การจัดการกับสินค้าด้อยคุณภาพ: แก้ปัญหาการนำเข้าสินค้าที่ผลิตเกินความจำเป็นและด้อยคุณภาพมาทุ่มตลาดในประเทศ อาทิ ยางรถยนต์ที่ไม่ได้มาตรฐาน, สายไฟที่ทองแดงน้อยกว่าเกณฑ์, หรือวัสดุก่อสร้างที่ด้อยคุณภาพ
  • การจัดการกับ "อุตสาหกรรมสีเทา" หรือ ธุรกิจผิดกฎหมาย (ศูนย์เหรียญ): ธุรกิจที่แม้จะมีตัวตนแต่ไม่ก่อให้เกิดคุณค่าทางเศรษฐกิจ หรือผลิตสินค้าที่ด้อยคุณภาพส่งผลกระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทย

“วิกฤตการณ์และความท้าทายต่างๆ เป็นโอกาสสำหรับประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัญหาภาษีการค้าที่ประกาศโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้สร้างพลังในการปรับปรุงเกณฑ์มาตรฐานสินค้า และทำให้กระทรวงอุตสาหกรรมสามารถทำงานได้รวดเร็วยิ่งขึ้น"

คณะกรรมการมาตรฐานอุตสาหกรรมที่ตั้งขึ้นใหม่ได้มีการประชุมที่ถี่ขึ้นจากทุก 2 เดือนเป็นทุก 2 สัปดาห์ เพื่อปรับปรุงและรื้อเกณฑ์มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมสำคัญ เช่น ยาง เหล็ก และสายไฟ รวมถึงการปรับปรุงระบบการออกใบอนุญาตและการเฝ้าระวังตลาด เพื่อสร้างการแข่งขันที่เป็นธรรมและเน้นคุณภาพ

นอกจากนี้ ยังมีการตั้งทีมชุดพิเศษเพื่อจัดการกับกลุ่มอุตสาหกรรมสีเทาที่ผลิตสินค้าด้อยคุณภาพ ลดต้นทุนโดยขาดความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และปล่อยมลภาวะ มีการระงับและจัดระเบียบใบอนุญาตธุรกิจรีไซเคิลที่ไม่ถูกต้อง และกำลังจะออก กฎหมายฉบับใหม่ คือ พระราชบัญญัติการจัดการอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นกฎหมายฉบับแรกที่เกิดจากความร่วมมือกับรัฐบาลญี่ปุ่น (กระทรวงสิ่งแวดล้อม)

กฎหมายนี้จะเน้นการบริหารจัดการขยะอุตสาหกรรม รวมถึงขยะอิเล็กทรอนิกส์ และให้แต้มต่อกับธุรกิจที่นำของเสียมาแปรรูปเป็นสินค้ามูลค่าสูง หรือนำสินค้าหมดอายุการใช้งาน เช่น แบตเตอรี่ หรือโซลาร์เซลล์ กลับมาใช้ใหม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิด เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ในประเทศไทย

ขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยสู่ยุคใหม่

“เอกนัฏ” ย้ำว่า การปกป้องเพียงอย่างเดียวไม่พอ แต่ต้องใช้จังหวะนี้เป็นโอกาสในการพลิกฟื้นและปฏิรูประบบอุตสาหกรรมเพื่อขับเคลื่อนประเทศไปสู่อนาคต โดยมีแนวทางดังนี้

การสนับสนุนสินค้าไทยในวันนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผลิตภัณฑ์จากบริษัทสัญชาติไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสินค้าที่ผลิตในประเทศไทยโดยบริษัทต่างชาติด้วย โดยเฉพาะในกลุ่มอุตสาหกรรมที่สำคัญต่อประเทศ เช่น ด้านการป้องกันประเทศและสาธารณสุข ด้วยเหตุนี้ รัฐมนตรีจึงได้นำเสนอแนวคิดใหม่อย่าง “Thai Gift Policy” ขึ้นมา เพื่อทดแทนนโยบายเดิมอย่าง “No Gift Policy” สำหรับข้าราชการ โดยหวังว่าจะเป็นแรงกระตุ้นให้สังคมหันมาสนับสนุนสินค้าไทยมากขึ้นในเชิงรูปธรรม

ในอีกด้านหนึ่ง ประเทศไทยกำลังเร่งสร้างห่วงโซ่มูลค่าใหม่ ด้วยการเดินหน้าเข้าสู่อุตสาหกรรมที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ไม่ว่าจะเป็นเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าที่กำลังมาแทนที่รถสันดาปภายใน การวิจัยและพัฒนาแร่ธาตุหายากที่จำเป็นต่อเทคโนโลยีขั้นสูง รวมถึงการลงทุนในอุตสาหกรรมสมาร์ทอิเล็กทรอนิกส์และเซมิคอนดักเตอร์ ประเทศยังไม่ละเลยภาคเกษตร โดยมุ่งหวังจะเพิ่มมูลค่าผลผลิตผ่านแนวทาง BCG (Bio-Circular-Green Economy) ที่ทั้งรักษ์สิ่งแวดล้อมและยั่งยืนในระยะยาว

ขณะเดียวกัน นโยบายส่งเสริมการลงทุนก็ต้องปรับตัวตามบริบทโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ภายใต้ข้อผูกพันด้านภาษีนิติบุคคลขั้นต่ำตามแนวทางของ OECD ประเทศไทยกำลังพิจารณาปรับเปลี่ยนสิทธิประโยชน์จากการยกเว้นภาษี ไปสู่รูปแบบใหม่ เช่น การจัดเก็บแล้วคืน เพื่อดึงดูดการลงทุนที่มุ่งเน้นนวัตกรรมและการวิจัยพัฒนาให้เกิดขึ้นในประเทศมากขึ้น

ด้านพลังงาน แผนพลังงานแห่งชาติฉบับใหม่ให้ความสำคัญกับการใช้วัตถุดิบภายในประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะการนำพืชผลทางการเกษตรมาใช้ผลิตพลังงานชีวภาพ เช่น การใช้ใบอ้อยเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งไม่เพียงช่วยลดการเผาในไร่นา แต่ยังสนับสนุนพลังงานสะอาดอย่างยั่งยืน

ทั้งหมดนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อระบบราชการสามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและโปร่งใส นายเอกนัฏได้เน้นย้ำถึงความจำเป็นในการปรับปรุงขั้นตอน กฎระเบียบ และกฎหมายต่างๆ ให้ทันสมัย เพื่อเอื้อต่อการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องและรวดเร็ว ควบคู่ไปกับการผลักดัน Digital Transformation ในระดับกระทรวง โดยเฉพาะการนำ AI มาใช้ในการตรวจสอบสินค้าด้อยคุณภาพ การเชื่อมต่อกับแอปพลิเคชันรับเรื่องร้องเรียน และการออกใบอนุญาตในรูปแบบดิจิทัล ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเครื่องมือที่จะช่วยให้ระบบราชการมีประสิทธิภาพ โปร่งใส และตอบสนองความต้องการของภาคประชาชนและเอกชนได้อย่างแท้จริง

"เอกนัฏ" กล่าวทิ้งท้ายว่า เราไม่เสียเวลามาคลาน ไม่เสียเวลามาเดิน แม้แต่จะวิ่งก็ไม่มีเวลา วันนี้เราจะบินไปอย่างเดียว